แม่ให้โดยเสน่หาที่ดิน พี่น้องจะเรียกคืน | |
ยายยกที่ดินให้โดยเสน่หากับแม่จำนวน 16 ไร่ เมื่อประมาณ 3-4ปีที่แล้ว มาถึงปัจจุบันแม่เจ็บหนัก พี่น้องของแม่จะมาเรียกเอาที่ดิน 16 ไร่คืน เพราะยายให้แม่โดยเสน่หาไม่มีการซื้อขายเป็นลายลักษณ์อักษร พี่น้องของแม่จะเรียกคืนได้ไหมคะ...ตอนนี้ยายเสียชีวิตไปประมาณ 2 ปีแล้วคะ...ขอบคุณมากค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ลูกสาวอยากรู้ :: วันที่ลงประกาศ 2011-09-09 10:24:29 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1444692) | |
ผมไม่แน่ใจว่าที่บอกว่า "ยายให้แม่โดยสเสน่หาโดยไม่มีการซื้อขายเป็นลายลักษณ์อักษร" คุณหมายถึงการให้ปากเปล่าใช่หรือไม่? ถ้าเป็นการให้โดยคำพูดก็ถือว่าการให้ไม่สมบูรณ์ใช้บังคับไม่ได้ครับ เมื่อเจ้าของทรัพย์หรือเจ้ามรดกถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม มรดกย่อมตกแก่ทายาท ทายาทมีใครบ้าง? อันดับแรกก็ดูที่ บิดา มารดา และ บุตร ตลอดจนคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายเสียก่อนครับ ดังนั้นตามคำถามนั้นพี่น้อง(ร่วมสายโลหิต) ย่อมมีสิทธิรับมรดกของยาย(แม่ของเขา) ได้ครับ 525 บัญญัติว่าการให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-09-09 10:28:57 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1444694) | |
คำพิพากษาฎีกาที่ยกมาให้อ่านกันนี้ น่าสนใจมากที่หมายเหตุท้ายฎีกาครับ เป็นเห็นทางกฎหมายที่แตกต่างไปจากคำพิพากษาศาลฎีกานี้ คู่สัญญาตกลงทำสัญญาจะให้ที่ดินมีโฉนดโดยเสน่หา โดยตกลงกันว่าจะนำสัญญาให้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานที่ดินภายในกำหนด 7 วัน ต่อมาผู้จะให้ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ย่อมทำให้สัญญาจะให้ไม่สมบูรณ์เพราะไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจะบังคับให้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2537 จำเลยทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดโดยเสน่หาแก่โจทก์โดยจะนำไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินภายในกำหนด 7 วัน แต่เมื่อการให้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้ คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29323 ถึง 29328 แขวงบางกะปิ(ลาดพร้าวฝั่งเหนือ)เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร รวม 6 แปลง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2530จำเลยทำสัญญาให้ที่ดินดังกล่าวโดยเสน่หาแก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้ง 6 แปลง นับแต่วันยกให้มาจนบัดนี้ จำเลยสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนการโอนที่ดินให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันทำสัญญา เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ไปทำการจดทะเบียนการโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนการโอนที่ดินทั้ง 6 แปลงดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนการโอนที่ดินดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนการโอนที่พิพาทโฉนดเลขที่ 29323 ถึง 29328 แขวงบางกะปิ(ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่าไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยทำสัญญายกที่ดินมีโฉนดให้โจทก์โดยเสน่หาแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ หากฟังว่าเป็นคำมั่นจะให้โจทก์ก็ฟ้องบังคับไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และมาตรา 526 โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหลอกให้จำเลยทำสัญญายกที่ดินให้โจทก์ ความจริงจำเลยต้องการขายที่ดิน โจทก์จึงอ้างว่าจะไปหาคนมาซื้อให้เพื่อความสะดวกในการขาย โจทก์กับพวกให้จำเลยทำสัญญายกที่พิพาท 6 แปลง ให้โจทก์เพื่อไปแสดงต่อผู้จะซื้อเพื่อผู้จะซื้อจะได้มอบเงินค่าที่ดินแก่จำเลย จำเลยจึงทำสัญญายกที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยไม่เคยมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์แต่อย่างใด จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 สิงหาคม 2533 ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาให้ตามฟ้องมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ขอให้ศาลพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความก่อน เพราะสัญญาให้ตามฟ้องเป็นการให้โดยมีค่าตอบแทนดังนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่ชำระหนี้ตอบแทนโดยการไปจดทะเบียนให้โจทก์ตามข้อตกลง จำเลยยืมเงินจากโจทก์แล้วทำสัญญายกที่ดินให้ เพื่อตีใช้หนี้อันเป็นการหลอกลวงโจทก์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาตามฟ้องเป็นโมฆะ โจทก์จะฟ้องจำเลยให้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินพิพาทให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 526ไม่ได้ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2530 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินโดยเสน่หาแก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.7 ที่ดินที่จำเลยยกให้โจทก์ตามสัญญามีจำนวน 6 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 29323 ถึง29328 แขวงบางกะปิ (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.6 แต่หนังสือสัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีปัญหาวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 บัญญัติว่าการให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบและมาตรา 526บัญญัติว่า ถ้าการให้ทรัพย์สินหรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับไซร้ ท่านว่าผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้นได้ ฯลฯ สำหรับที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด การโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 4 ทวิแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และหนังสือสัญญาให้ที่ดินโดยเสน่หาตามเอกสารหมาย จ.7 ตอนท้ายมีข้อความว่า ฯลฯ คู่สัญญาจะได้นำไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินภายในกำหนด7 วัน นับแต่วันทำสัญญาฉบับนี้ จากข้อสัญญาดังกล่าวแสดงว่าจำเลยประสงค์จะยกที่พิพาทให้แก่โจทก์ โดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น เมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้เรื่องการทำสัญญาให้ไม่ถูกแบบเป็นการไม่ชอบแล้ว แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ในข้ออื่น ๆ อีกก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ฟ้องของโจทก์สามารถบังคับได้ เมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ข้ออื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป" พิพากษายืน ( ประยูร มูลศาสตร์ - ก้าน อันนานนท์ - ประสิทธิ์ แสนศิริ ) หมายเหตุ (1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 บัญญัติว่า"การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีเช่นนี้การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ" ตามมาตรานี้แปลความกลับกันก็หมายความว่า ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การให้ย่อมไม่สมบูรณ์ซึ่งการให้ทรัพย์สินโดยทั่วไป (ไม่ใช่การให้ทรัพย์สินตามมาตรา 456วรรคแรก) จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สิน (มาตรา 523) เห็นได้ว่ามาตรา 525 เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 523 สำหรับการให้ทรัพย์สินที่ถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนในข้อที่สมบูรณ์โดยไม่จำต้องส่งมอบ (2) แต่ทั้ง ๆ ที่ มาตรา 525 บัญญัติใช้คำว่าสมบูรณ์ ศาลฎีกาก็ยังเคยวินิจฉัยไว้ว่า เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน ย่อมเป็นโมฆะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไปไม่ทราบ ตามฎีกาที่ 226/2520(ตัดสินตามฎีกาที่ 2364/2515) ข้อเท็จจริงเป็นสัญญาให้ที่ดินรวมอยู่ด้วย กล่าวไว้ว่า "...ทั้งไม่ได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525บังคับไว้ย่อมไม่สมบูรณ์ เท่ากับไม่มีสัญญาให้...เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115(ปัจจุบันมาตรา 152)" เป็นการวินิจฉัยแบบหัวมังกุด ท้ายมังกร เพราะตอนแรกว่าไม่สมบูรณ์ ตอนท้ายกลับว่าเป็นโมฆะ หาสอดคล้องต้องกันไม่ ทั้ง ๆ ที่ตามมาตรา 525ใช้คำว่าสมบูรณ์ ซึ่งถ้าหากไม่ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนก็ไม่สมบูรณ์ไม่ใช้คำว่าโมฆะและไม่หมายถึงว่าเป็นโมฆะ (3) เมื่อเป็นการใช้กฎหมายตามตัวอักษรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคแรก ตอนแรก ตามมาตรา525 เมื่อไม่ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน หมายถึง ไม่สมบูรณ์จะตีความว่าเป็นโมฆะได้อย่างไร ไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ เป็นคนละเรื่องกัน สัญญาให้เป็นสัญญาฝ่ายเดียว (unilateralcontract) แม้เป็นนิติกรรมสองฝ่าย กล่าวคือ มีคำเสนอคำสนองหรือตกปากลงคำมีเจตนาของคู่สัญญาตรงกัน ก็ย่อมเกิดสัญญาให้ขึ้นแล้วจะถือว่าไม่เป็นสัญญาให้หรือไม่มีสัญญาให้เกิดขึ้นย่อมไม่ได้ สัญญาให้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆเพียงแต่ไม่ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนการให้หรือสัญญาให้ ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น แม้จะถือว่าการทำเป็นหนังสือจดทะเบียนเป็นแบบกฎหมายก็บัญญัติให้เป็นเพียงไม่สมบูรณ์เท่านั้น ไม่ถึงกับเป็นโมฆะเสียเปล่าไปตามหลักที่บัญญัติไว้ทั่วไปตามมาตรา 152 จะว่าเป็นข้อยกเว้นก็ได้ (4) เมื่อบุคคลตกลงทำสัญญากันแล้วแม้ทำกันด้วยวาจา ถ้าเป็นสัญญาต่างตอบแทนก็ย่อมก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกัน ถ้าเป็นสัญญาฝ่ายเดียวไม่ต่างตอบแทน เช่น สัญญาให้ ก็ก่อให้เกิดหนี้ที่ผู้ให้จะต้องชำระแก่ฝ่ายผู้รับ จึงย่อมฟ้องร้องบังคับกันได้ตามหลักทั่วไป (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคแรก) ผลของความไม่สมบูรณ์กับโมฆะนั้นผิดกันไกล ถ้าเป็นเรื่องไม่สมบูรณ์ เมื่อเกิดสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาให้ ยืม ฯลฯ ย่อมมีหนี้ที่จะบังคับกันได้แล้ว ย่อมฟ้องร้องบังคับให้ส่งมอบหรือจดทะเบียนกันได้ แต่ถ้าเป็นโมฆะแล้วย่อมเสียเปล่าแม้จะมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ตกลงให้กันก็ยังเป็นโมฆะอยู่ดีไม่มีทางสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ผลเป็นดังนี้ ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาจึงคลาดเคลื่อน (5) เคยมีคำพิพากษาของศาลหลายเรื่องที่วินิจฉัยว่าผู้เช่าจะฟ้องบังคับให้ผู้ให้เช่าไปจดทะเบียนการเช่าหาได้ไม่แต่ผู้บันทึกมีความเห็นมานานแล้วว่า ถ้าหากคู่กรณีตกลงเช่าอสังหาริมทรัพย์กันซึ่งจะต้องมีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยคู่กรณีมีความตั้งใจ ดังนี้ ย่อมฟ้องบังคับให้ไปจดทะเบียนกันได้อาศัยบทบัญญัติทั่วไป โดยที่ผู้ให้เช่าเป็นลูกหนี้เมื่อไม่ชำระหนี้ผู้เช่าซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมฟ้องบังคับผู้ให้เช่าซึ่งเป็นลูกหนี้ได้(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคแรก) ซึ่งก่อนนั้นจะฟ้องบังคับคดีตามสัญญาเช่าระหว่างกันไม่ได้แน่ เว้นแต่จะได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ฯลฯ ตาม มาตรา 538 จึงต้องฟ้องบังคับโดยอาศัยหลักการไม่ชำระหนี้ทั่วไป (6) ข้อเท็จจริงตามฎีกาที่บันทึกนี้ได้ความว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดโดยเสน่หาแก่โจทก์โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และหนังสือดังกล่าวตอนท้ายมีข้อความว่า ฯลฯ คู่สัญญาจะได้นำไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินภายใน 7 วันนับแต่วันทำสัญญาซึ่งต้องถือหลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนา (primautedevolonte)(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 114 เดิม,151 ใหม่)ศาลฎีกาเองก็เห็นว่าจำเลยประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่กลับไม่บังคับตามเจตนาของคู่สัญญาโดยไปวินิจฉัยตอนท้ายว่า "เมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นิติกรรมให้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้" แทนที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยคดีโดยหลักการไม่ชำระหนี้โดยทั่วไป โดยฟ้องบังคับให้ผู้ให้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้แก่โจทก์ผู้รับการให้ ผู้บิดพลิ้วไม่ยอมโอนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แล้วเมื่อไรการให้จะสมบูรณ์ตามกฎหมายกันเล่า (7) พึงสังเกตว่ากรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับคดีตามสัญญาให้ เพราะสัญญาให้ยังไม่สมบูรณ์ จะฟ้องบังคับคดีโดยอาศัยสัญญาให้ยังไม่ได้ หากจะฟ้องก็ต้องฟ้องโดยอาศัยหลักการไม่ชำระหนี้โดยทั่วไปเท่านั้น (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคแรก)การฟ้องให้จดทะเบียนนี้เป็นการฟ้องบังคับตามหลักการดังกล่าวเพื่อให้สัญญาให้สมบูรณ์ให้จงได้ แม้กรณีไม่ต้องด้วยตัวบทมาตรา 526เกี่ยวกับการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันแล้วแต่ผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินแก่ผู้รับก็ตาม นอกจากนี้การที่ผู้รับชอบที่จะเรียกให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ผู้รับ (ถ้าหากไม่ส่งมอบก็ย่อมฟ้องบังคับกัน) ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้ให้มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติชำระแก่ผู้รับโดยที่กฎหมายบัญญัติไว้ในลักษณะสัญญาให้ ฉะนั้นการฟ้องบังคับให้ผู้ให้ไปจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงมิใช่กรณีที่แตกต่างกันไปย่อมบังคับกันได้ เช่นกรณีไม่ชำระหนี้กันตามปกติธรรมดา (8) ข้อสังเกตประการสุดท้ายก็คือ ที่จะฟ้องบังคับคดีให้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นข้อเท็จจริงก็ต้องได้ความว่าคู่กรณีประสงค์ที่จะยกที่พิพาทให้แก่กันโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าหากไม่มีความประสงค์เจตนาดังกล่าวแล้วก็ย่อมจะฟ้องร้องกันไม่ได้ เพราะแสดงว่าคู่กรณีไม่ต้องการให้สัญญาให้สมบูรณ์มาตั้งแต่ต้นเสียแล้ว ในข้อนี้พอเทียบได้กับสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคแรก เพราะถ้าหากไม่มีเจตนาจะทำเป็นหนังสือจดทะเบียนก็ย่อมเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด สัญญาซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรกไปทีเดียว ความประสงค์หรือเจตนาดังกล่าวย่อมพิเคราะห์ดูได้จากข้อเท็จจริง ไพจิตรปุญญพันธุ์
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-09 10:30:20 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1444695) | |
ความสมบูรณ์ของสัญญาให้ สัญญาให้ย่อมสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ มาตรา 523 ซึ่งการส่งมอบนั้นจะเป็นการที่ผู้ให้หยิบยื่นทรัพย์สินให้โดยตรง เช่น ให้แหวนก็ส่งมอบแหวนใส่ในมือผู้รับหรือกระทำโดยปริยายก็ใช้ได้ เช่น ผู้ให้กล่าวคำยกทรัพย์ให้โดยชัดเจน และในเวลาเดียวกันก็มอบลูกกุญแจสำหรับไขตู้หรือที่เก็บทรัพย์ได้ แต่หลักนี้มีข้อยกเว้นอยู่2 ประการคือ 1. การให้สิทธิอันมีหนังสือเป็นตราสารสำคัญ มาตรา 524 บัญญัติว่า ถ้ามิได้ส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับ และมิได้มีหนังสือบอกกล่าวแก่ลูกหนี้แห่งสิทธินั้นด้วยแล้ว การให้ย่อมไม่สมบูรณ์ซึ่งทั้งนี้หมายถึงสิทธิไม่ใช่ให้ตัวทรัพย์สินโดยตรง สิทธิอันมีหนังสือตราสารสำคัญนั้น จะเป็นชนิดที่กฎหมายบังคับว่าต้องทำตราสารหรือไม่ก็ตาม เมื่อให้แก่กันจะต้องส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับ และผู้ให้มีหนังสือบอกกล่าวการให้ไปยังลูกหนี้ตามตราสารนั้นด้วย 2. การให้อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์(ชนิดพิเศษ) ซึ่งถ้าซื้อขายกันต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มาตรา 456 วรรค1 ก็ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นเดียวกันกับการทำสัญญาซื้อขายจึงจะสมบูรณ์ตามมาตรา 525 ผู้ให้จะเพียงแต่ส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ หรือมอบหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สิน เช่น โฉนดให้แก่ผู้รับเท่านั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ แต่การให้นี้เมื่อได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว แม้จะยังไม่ส่งมอบทรัพย์สินกรรมสิทธิ์ก็เปลี่ยนมือไปยังผู้รับแล้ว ข้อสังเกต การอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงาน ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-09 10:30:47 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1444696) | |
แบบของนิติกรรมมีสี่อย่างได้แก่
๔. ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 525 การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใน กรณีเช่นนี้การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ มาตรา 462 ที่บัญญัติว่า “การส่งมอบนั้นจะทำอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ สุดแต่ว่าเป็นผลให้ทรัพย์สินนั้นไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้ซื้อ” คำว่าอยู่ในเงื้อมมือ หมายถึง อยู่ในความครอบครองดูแลของผู้ซื้อ จะเห็นได้ว่า มาตรา 523 นั้น บัญญัติให้การส่งมอบเป็นองค์ประกอบของสัญญาให้ ถ้าไม่ส่งมอบให้อยู่ในเงื้อมมือของผู้รับ (นำมาตรา 462 มาใช้โดย Analogy )สัญญาให้ย่อมไม่สมบูรณ์ ไม่มีการให้กันเกิดขึ้นเลย
มาตรา 525 ยังบัญญัติว่า การให้ทรัพย์สินที่การซื้อขายต้องทำตามแบบ หากได้ทำตามแบบแล้ว ถือว่ามีการส่งมอบแล้ว เช่น ดำ กล่าวกับแดงว่าดำยกที่ดินให้แดงหนึ่งแปลง ที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่การซื้อขายต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อดำและแดงพากันไปทำตามแบบที่สำนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมเป็นของแดงโดยที่ดำไม่ต้องไปยกที่ดินมาส่งมอบให้แดงอีก ดังนั้น คำว่า "ไม่สมบูรณ์" จึงแปลว่า สัญญานั้นไม่เกิดด้วยขาดองค์ประกอบการเกิดของสัญญานั่นเอง คำว่า "ไม่บริบูรณ์" หมายถึง ไม่บริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิ (บางท่านมักใช้คำว่า ไม่สมบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ แต่มิใช่ไม่สมบูรณ์ในความหมายของกฎหมาย หากแต่ใช้โดยนัยเป็นคำทั่วไป ซึ่งผู้เขียนขอเลี่ยงไม่ใช้ด้วยการใช้คำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายจะทำให้เกิดความสับสน และเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง) แต่บริบูรณ์ในฐานะเป็นบุคคลสิทธิ
เช่น ดำยอมให้แดงเดินผ่านที่ดินของตนเป็นภาระจำยอม ซึ่งกรณีนี้ต้องไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ดำและแดงไม่ได้ไปทำ ดังนี้ ระหว่างดำและแดงเป็นบุคคลสิทธิ แดงย่อมเดินผ่านที่ดินของดำได้ แต่เมื่อดำได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้ขาวแล้ว ขาวไม่อยู่ในบังคับสิทธิที่ต้องยอมให้แดงเดินผ่าน ขาวจะปิดกั้นทางเดินเสียก็ย่อมทำได้ เพราะสิทธิของแดงเป็นแต่เพียงบุคคลสิทธิที่มีเหนือดำเท่านั้น มิใช่ทรัพยสิทธิที่มีเหนือทางภาระจำยอม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6208/2545
มาตรา 172 โมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างก็ได้ ความเสียเปล่าแห่งนิติกรรมที่เป็นโมฆะนั้น เสมือนกับว่านิติกรรมนั้นไม่เกิดขึ้นเลย แท้จริงนิติกรรมได้เกิดขึ้นเพราะสัญญาเกิดตามหลักทั่วไปคือคำเสนอสนองถูกต้องตรงกันเกิดเป็นสัญญาแล้ว แต่นิติกรรมนั้นเสียเปล่าเพราะไม่ได้ทำตามแบบ เช่น ดำทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากแดงแต่มิได้ทำเป็นหนังสือต่อกัน สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ
จึงต้องถือเสมือนสัญญาเช่าซื้อมิได้เกิดขึ้นเลย บางท่านไปเข้าใจว่า การใช้คำว่า เสมือนไม่เกิดเป็นการใช้คำฟุ่มเฟือย ทำให้สับสน แท้จริงแล้วไม่ใช่ เป็นการใช้ถ้อยคำโดยชอบแล้ว เพราะการไม่เกิดขึ้นเลยคือนัยของคำว่า "ไม่สมบูรณ์" อันมีองค์ประกอบของการเกิดขึ้นของสัญญาด้วยการส่งมอบบังคับอยู่ ส่วนการถือเสมือนไม่เกิดขึ้นเลยนั้น ไม่มีองค์ประกอบการเกิดขึ้นของสัญญาใดๆ บังคับอยู่ สัญญาได้เกิดขึ้นแล้วจากคำเสนอและสนองที่ถูกต้องตรงกัน เพียงแต่บังคับไม่ได้เสมือนกับไม่ได้เกิดขึ้นเลย เพราะไม่ได้ทำตามแบบแห่งนิติกรรมต่างหาก ผู้เขียนจึงขอยืนยันว่า การใช้คำว่า เสมือนไม่เกิดขึ้นเลยในกรณีโมฆะกรรมนั้นชอบแล้ว กล่าวโดยสรุป ไม่สมบูรณ์ คือ การไม่เกิดขึ้นเลยของสัญญา เพราะเหตุไม่ครบองค์ประกอบแห่งการเกิดขึ้นของสัญญา ไม่บริบูรณ์ คือ ความไม่บริบูรณ์ในฐานะเป็นทรัพยสิทธิ แต่สัญญาได้เกิดขึ้นครบถ้วนและบริบูรณ์ในฐานะบุคคลสิทธิแล้ว โมฆะ คือ ความเสียเปล่าของนิติกรรมสัญญาที่ถือเสมือนนิติกรรมสัญญานั้นไม่เกิดขึ้นเลย เพราะไม่ได้ทำตามแบบแห่งนิติกรรม (การเกิดของสัญญาครบองค์แล้ว) คำสามคำนี้จึงมีความหมายที่ต่างกัน และนักเรียนกฎหมาย นักกฎหมายทั่วไป พึงทำความเข้าใจเสียให้ถูกต้อง แหล่งที่มาข้อมูล | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-09 10:52:22 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1444708) | |
การทำความดีที่ประเสริฐที่สุดก็คือการให้ ไม่ว่าจะให้สิ่งของ หรือว่าให้อภัยต่างๆ และการให้จะต้องไม่ใช่เพื่อหวังสิ่งตอบแทน ผู้ให้จึงจะมีความสุข | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-09 11:50:07 |
[1] |