สัญญากู้ยืมเงิน คนให้กู้ยืมเงินฟ้องไม่ได้ คนถูกฟ้องไม่ได้กู้ยืมเงิน | |
ผู้ให้กู้เป็นคนให้เงินแก่ผู้กู้ แต่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกับกับผู้อื่นที่เป็นนายหน้า ดังนี้ผู้ให้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นผู้ส่งมอบเงินตัวจริงจะฟ้องผู้รับเงินได้หรือไม่??? | |
ผู้ตั้งกระทู้ ดีมอท :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-14 14:54:10 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1438907) | |
การฟ้องร้องเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมเงินนั้น ต้องเป็นกรณีที่สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องนั้น โจทก์ต้องมีชื่อเป็นผู้ให้กู้ยืมเงิน แม้โจทก์จะเป็นคนส่งมอบเงินที่ให้กู้ยืมกันตามสัญญากู้ยืมก็ตาม แต่ถ้าในสัญญากู้ยืมเงินมีชื่อผู้อื่นเป็นผู้ให้กู้และลงลายมือชื่อเป็นผู้ ให้กู้ กรณีเช่นนี้โจทก์ในคดีนี้จะนำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมาฟ้องผู้กู้หาได้ไม่ โจทก์ไม่มี่อำนาจฟ้อง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-14 14:58:08 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1438908) | |
สัญญากู้ยืมเงินที่จะนำไปฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ต้องมีลักษณะอย่างไร??
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2553 จำเลยสละข้อต่อสู้ตามคำให้การที่ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเป็นเอกสารปลอม คงเหลือข้อต่อสู้เพียงว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ ไม่เคยกู้ยืมเงิน และรับเงินไปจากโจทก์ คำให้การของจำเลยที่เหลือหลังจากสละข้อต่อสู้บางข้อแล้ว ยังคงเป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธชัดแจ้งเป็นคำ ให้การที่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ โจทก์อ้างหนังสือสัญญากู้ยืมซึ่งมี ก. ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้ โดยโจทก์ไม่ได้ลงชื่อ ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีที่โจทก์นำสืบนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกสำนวนไม่ ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยกู้ยืมเงินจาก ก. และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกู้ยืมเงินจาก ก. เป็นการนำสืบและวินิจฉัยเพื่อเป็นการให้เหตุผลหรืออธิบายว่าจำเลยไม่ได้กู้ ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยอยู่ในกรอบของคำให้การที่ว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืม เงินและรับเงินไปจากโจทก์ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 53,028 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 25 ธันวาคม 2545) ต้องไม่เกิน 3,029 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความให้ 600 บาท โจทก์ฎีกา พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ( ประทีป ดุลพินิจธรรมา - สนอง เล่าศรีวรกต - สุริยง ลิ้มสถิรานันท์ ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-14 14:59:52 |
[1] |