การการเบิกความอย่างไรที่ถือว่าเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ | |
เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลมีโทษอย่างไร การการเบิกความอย่างไรที่ถือว่าเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ | |
ผู้ตั้งกระทู้ ธนา :: วันที่ลงประกาศ 2011-06-15 17:35:52 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1432176) | |
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จหรือไม่ เห็นว่า มูลเหตุที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ก็โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากถ้อยคำของจำเลยทั้งสองที่แจ้งต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความต่อศาลว่า จำเลยที่ 1 เห็นโจทก์ทั้งสองกับพวกลักโคของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เห็นโจทก์ทั้งสองกับพวกมาเอาโคของจำเลยที่ 1 ไป แต่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่เชื่อว่าจำเลยทั้งสองเห็นคนร้ายที่ลักโคของจำเลยที่ 1 จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองมีร้อยตำรวจเอกอนันต์เบิกความเป็นพยานว่า ได้ไปดูที่เกิดเหตุและเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า จุดที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ายืนดูและมองเห็นคนร้ายสามารถมองเห็นคอกโคได้แต่ไม่ชัดเจน ในคอกมีดวงไฟขนาด 100 แรงเทียนติดอยู่ คอกโคไม่กว้าง ร้อยตำรวจเอกศิริชัยเบิกความเป็นพยานโจทก์ทั้งสองว่า ได้ไปดูที่เกิดเหตุ ห้องน้ำบ้านจำเลยที่ 1 อยู่ติดกับคอกโค ห้องน้ำมีช่องระบายอากาศ หากมองจากภายในห้องน้ำผ่านช่องระบายอากาศสามารถมองเห็นคอกโคได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาตามภาพถ่ายแล้วเห็นว่า ห้องน้ำอยู่ห่างคอกโค 1 เมตรเศษ คอกโคอยู่ต่ำกว่าพื้นห้องน้ำ 1 เมตรเศษ ช่องระบายอากาศด้านซ้ายมือของจำเลยที่ 1 ตามภาพถ่ายคือช่องระบายอากาศด้านที่อยู่ติดกับคอกโค ช่องระบายอากาศดังกล่าวอยู่สูงจากพื้นห้องน้ำ 1 เมตรเศษ เชื่อว่า หากมองจากภายในห้องน้ำผ่านช่องระบายอากาศดังกล่าวน่าจะมองเห็นภายในคอกโคได้ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์ทั้งสองเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า ขณะจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์อยู่บนถนนสายท่าซอม เพื่อไปตลาดนัดพบโจทก์ทั้งสองกับพวกจูงโค 3 ตัว อยู่ริมถนน ตามบันทึกคำให้การของพยานและสำเนาคำให้การพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบดังกล่าวไม่มีเหตุผลที่จะชี้ให้เห็นเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยทั้งสองว่านำเอาความเท็จซึ่งควรรู้อยู่แล้วมาแกล้งกล่าวหาโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองเห็นว่าโจทก์ทั้งสองกับพวกเป็นคนร้ายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่ยุติระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสามในคดีปล้นทรัพย์เท่านั้น จะนำมาฟังในคดีนี้ว่าการที่จำเลยทั้งสองให้การในชั้นสอบสวนกับเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลตรงข้ามกับข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบว่าความจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 181 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 174 มาตรา 175 มาตรา 177 มาตรา 178 หรือ มาตรา 180 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-07-01 16:03:22 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1432178) | |
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 ถ้าแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวนให้ผู้อื่นเสียหายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล หรือเบิกความต่อศาลนั้นต้องเป็นข้อที่เป็นสาระสำคัญที่ทำให้ศาลตัดสินลงโทษผู้ที่ถูกใส่ความต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การที่พยานเบิกความว่าเห็นจำเลยกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต่อมาศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ การที่จำเลยนำเหตุที่ศาลยกฟ้องนั้นมาฟ้องพยานที่เบิกความต่อศาลฐานเบิกความอันเป็นเท็จโดยไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนไม่ได้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-07-01 16:09:04 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1432982) | |
การเบิกความอันเป็นเท็จ ในเรื่องนี้จำเลยได้ร่วมกันเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งของศาลชั้นต้นว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปโดยตรง โจทก์จึงเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยโดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์ต้องเป็นคู่ความในคดีที่จำเลยเบิกความเท็จนั้นหรือไม่
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-07-07 22:29:42 |
[1] |