ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




แบบฟอร์ม หนังสือยินยอมของคู่สมรส (แบบที่สอง)

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont 

 

                    หนังสือยินยอมของคู่สมรส 

                                  ทำที่.....

                      วันที่......เดือน.......พ.ศ. ..

          ข้าพเจ้า.......อายุ.....ปี อยู่บ้านเลขที่......ตรอก/ซอย.......ถนน......ตำบล/แขวง....อำเภอ/เขต......จังหวัด.......ยินยอมให้......ซึ่งเป็นสามี/ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของข้าพเจ้า ทำนิติกรรมและ/หรือกิจการดังต่อไปนี้ได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมของข้าพเจ้าอีก

     ๑. ............

     ๒. ...........

     ๓. ..........

        การใดที่......สามี/ภรรยาของข้าพเจ้าได้กระทำไปในขอบอำนาจของหนังสือยินยอมนี้ ให้มีผลผูกพันข้าพเจ้าเสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้าได้เข้าร่วมกระทำด้วย

เพื่อเป็นหลักฐานในการนี้ ข้าพเจ้าจึงลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าพยาน

       ลงชื่อ..................ผู้ให้ความยินยอม

          (.........................)

       ลงชื่อ..................พยาน

         (..........................) 

       ลงชื่อ..................พยาน

         (..........................)

 

 หนังสือยินยอมคู่สมรสปลอม

 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  9375/2539

          โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่6และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินแม้โฉนดที่ดินฉบับเจ้าของที่ดินที่โจทก์รับมาจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่7เป็นโฉนดที่ดินปลอมแต่โฉนดที่ดินฉบับหลวงก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเช่นนี้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงย่อมเป็นของโจทก์ตามกฎหมายการที่มีบุคคลอื่นซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงอ้างว่าเป็นตัวโจทก์โดยใช้บัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านที่ระบุว่าเป็นของโจทก์ปลอมกับหนังสือให้ความยินยอมที่ระบุว่าเป็นของภริยาโจทก์ปลอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่1แม้จะได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตามแต่เมื่อบุคคลดังกล่าวไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นได้จำเลยที่1ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่1ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมไม่มีสิทธิใดๆในการที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นเช่นเดียวกันดังนั้นแม้จำเลยที่4และที่5ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่1โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งได้แก้ชื่อในสารบัญจดทะเบียนของโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นชื่อของจำเลยที่4และที่5ก็ตามจำเลยที่4และที่5ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่เพราะเมื่อผู้โอนไม่มีสิทธิที่จะโอนให้แก่ผู้รับโอนผู้รับโอนจะได้สิทธิซึ่งไม่มีอยู่ไม่ได้ คดีนี้เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้โจทก์จึงถูกโต้แย้งสิทธิอยู่ตลอดเวลาที่ทรัพย์สินของตนยังอยู่ในความครอบครองของบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้เสมอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดถึงสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินว่ามีสิทธิอย่างใดบ้างที่กฎหมายให้ความคุ้มครองอันเป็นอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพย์สิทธิอย่างหนึ่งหาใช่การบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหน้าที่จะต้องใช้ภายในกำหนดอายุความดังที่บัญญัติไว้ในบรรพ1ลักษณะ6แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สินจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา193/9และ193/30 ข้อที่จำเลยที่4และที่5ฎีกาว่าจำเลยที่4และที่5ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382นั้นจำเลยที่4และที่5ไม่ได้ให้การสู้คดีไว้แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหานี้ให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินจำเลยที่7ได้กระทำไปเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่7ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์และแม้ว่ามูลละเมิดจะขาดอายุความแล้วโจทก์ก็มีสิทธิขอให้จำเลยที่7ดำเนินการแก้ไขโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้ถูกต้องเพื่อแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นการเรียกทรัพย์คืนได้
 
          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2506 ก่อนที่จำเลยที่ 6 จะได้จดทะเบียนก่อตั้งสมาคมเช่นในปัจจุบัน นายศักดิ์ ไทยวัฒน์ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้น ได้จัดตั้งคณะบุคคลขึ้นเป็นผู้เริ่มก่อการ ใช้ชื่อว่า "โครงการสโมสรกรุงเทพฯ กรีฑา"ผู้เช่าเป็นสมาชิกจะต้องเสียเงินค่าหุ้น หุ้นละ 40,000 บาทและจะได้รับที่ดินเป็นการตอบแทนหุ้นละ 1 ไร่ โจทก์ได้เข้าหุ้นเป็นสมาชิก 3 หุ้น นายศักดิ์ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2652 แล้วโอนให้แก่สมาชิกโจทก์จึงได้รับการยกให้ที่ดินรวม 3 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่73784, 73785 และ 73786 ตำบลสวนหลวง (คลองประเวศฝั่งเหนือ)อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2514โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ในระหว่างวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2514 ถึงวันที่29 กุมภาพันธ์ 2523 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 2 และที่ 3ได้ร่วมกับผู้มีชื่อสมคบกันทำปลอมขึ้นทั้งฉบับซึ่งหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลง ฉบับสำหรับสำนักงานที่ดินพระนครโดยระบุอายุในช่องอายุโจทก์ปลอม จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อปลอมในช่อง "ผู้ให้" จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อปลอมและประทับตามปลอมในช่อง "เจ้าพนักงานที่ดิน" และผู้มีชื่อลงลายมือชื่อของโจทก์ปลอมในช่อง "ผู้รับให้" แล้วนำไปใส่ไว้ในสารบบจดทะเบียนแทนฉบับที่แท้จริง หลังจากนั้นผู้มีชื่อได้แสดงตนเป็นตัวโจทก์นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนปลอม สำเนาทะเบียนบ้านปลอมหนังสือยินยอมคู่สมรสปลอม และลงลายมือชื่อปลอม โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 73784 และ 73785 ของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1ไปเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2523 โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าผู้มีชื่อนั้นไม่ใช่ตัวโจทก์ มีนายมะน้อม บุญกระโทกเจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7 เป็นผู้ดำเนินการทำหนังสือสัญญาขายที่ดินและจดทะเบียนให้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินทั้งสองแปลงไปจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ต่อมาเมื่อวันที่17 กรกฎาคม 2528 จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายที่ดินทั้งสองแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 4 และที่ 5 เมื่อวันที่ 19มิถุนายน 2533 โจทก์ได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 73784 และ 73785 ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน จึงทราบจากเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าวที่โจทก์เก็บไว้เป็นโฉนดที่ดินปลอม และปัจจุบันในสารบัญจดทะเบียนของโฉนดที่ดินฉบับหลวงทั้งสองฉบับได้มีการจดทะเบียนโอนขายต่อไปยังจำเลยที่ 4 และที่ 5 แล้วการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และผู้มีชื่อเป็นการละเมิดต่อโจทก์นิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างผู้มีชื่อกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 4และที่ 5 ไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนที่ดินทั้งสองแปลงจากจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ จำเลยที่ 6ในฐานะนายจ้างตัวการได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างตัวแทนดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโอนให้แก่โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 2 กระทำขึ้นด้วยนอกจากนี้จำเลยที่ 6 ยังต้องมีหน้าที่ดูแลคุ้มครองสิทธิของสมาชิกรวมทั้งการบริการและดูแลที่ดินของสมาชิก แต่จำเลยที่ 6 ละเลยหน้าที่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบหรือสอบถามโจทก์ถึงการจำหน่ายจ่ายโอนไปซึ่งที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 6 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์อีกฐานะหนึ่งด้วยการที่นายมะน้อมเจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7 ดำเนินการทำหนังสือสัญญาขายที่ดินและจดทะเบียนโอนขายที่ดินระหว่างผู้มีชื่อกับจำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่ผู้มีชื่อได้แสดงตนปลอมตัวเป็นโจทก์และอ้างเอกสารปลอมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวัง เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และการที่จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวมาแล้ว จำเลยที่ 7 ในฐานะผู้ปกครองบังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติงานของนายมะน้อมและจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในความเสียหายที่นายมะน้อมและจำเลยที่ 3 ได้ก่อขึ้นต่อโจทก์ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันและแทนกันแก้ไขเพิกถอนสารบัญการจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 73784 และ 73785 ตำบลสวนหลวง (คลองประเวศฝั่งเหนือ)อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังเดิม และให้จำเลยที่ 7 ดำเนินการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 73784และ 73785 ดังกล่าวใหม่ให้ถูกต้อง หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และหากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันและแทนกันชดใช้ราคาค่าที่ดินให้โจทก์เป็นเงิน 28,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
          จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยปลอมเอกสารใด ๆสัญญาให้ที่ดินและโฉนดที่ดินที่โจทก์อ้างมาท้ายฟ้องไม่ใช่เอกสารฉบับที่จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมโอนให้ที่ดินแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อ้างว่ามีการกระทำละเมิด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่ตรงตามความจริงเพราะปัจจุบันที่ดินของโจทก์มีราคาเพียงตารางวาละ 4,000 บาทจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวทวงถามใด ๆ จากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

          จำเลยที่ 3 และที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และผู้มีชื่อปลอมหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 จำเลยที่ 3 จดทะเบียนการยกให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์ไปตามหน้าที่โดยลงลายมือชื่อและประทับตราที่แท้จริงในหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลง เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารปลอมทั้งฉบับ และจำเลยที่ 3 มิได้กระทำการหรือร่วมกับผู้อื่นกระทำการปลอมในช่องอายุและช่องลายมือชื่อผู้รับให้ในหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลงแต่อย่างใด เมื่อจดทะเบียนเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7ได้มอบสัญญาให้ที่ดินให้โจทก์ไป 1 ฉบับ ส่วนอีก 3 ฉบับ แยกเก็บไว้ในสารบบจดทะเบียนเป็นรายโฉนดหลังจากนั้นในปี 2519 จำเลยที่ 3ได้ย้ายไปรับราชการที่อื่น มิได้เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนที่ดินของสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนงอีกเลยส่วนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินระหว่างผู้ที่อ้างตัวเป็นโจทก์กับจำเลยที่ 1 ก่อนที่นายมะน้อม บุญกระโทก จะจดทะเบียนให้เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7 ได้ทำการสอบสวนและตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ครบถ้วนถูกต้องตามระเบียบของทางราชการแล้วเห็นว่าผู้ขายเป็นโจทก์ จึงรับดำเนินการจดทะเบียนให้โดยไม่ได้ประมาทเลินเล่อ เมื่อจำเลยที่ 3 มิได้ปลอมหนังสือสัญญาให้ที่ดิน และนายมะน้อมมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 7ในฐานะนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากฟังได้ว่าจำเลยที่ 3กระทำการปลอมหนังสือสัญญาให้ที่ดินจำเลยที่ 7 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะเป็นการกระทำส่วนตัวของจำเลยที่ 3 ค่าเสียหายไม่ควรเกิน 1,200,000 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด ขอให้ยกฟ้อง

          จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า โจทก์ได้ที่ดินโฉนดเลขที่73784 และ 73785 มาโดยไม่ชอบ เพราะเป็นโฉนดที่ดินปลอมไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ตามกฎหมาย และจะยกขึ้นยันจำเลยที่ 4และที่ 5 ซึ่งได้ที่ดินดังกล่าวมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วไม่ได้โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ จึงเป็นห้องที่เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง

          จำเลยที่ 6 ให้การว่า จำเลยที่ 6 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 6 ได้แบ่งแยกที่ดินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 3 แปลง ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้วตามสัญญาการเข้าเป็นสมาชิกจำเลยที่ 6 ไม่มีวัตถุประสงค์ในการดูแลคุ้มครองสิทธิของสมาชิกและไม่มีหน้าที่ใด ๆ ในการดูแลรักษาที่ดินของโจทก์จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3กระทำละเมิด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นราคาที่ดินไม่ควรเกิน4,800,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

          ในวันนัดฟังคำพิพากษาโจทก์แถลงว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน2532 ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ตามสำเนาราชกิจจานุเบกษาฉบับลงวันที่19 ธันวาคม 2532

          ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ร่วมกันแก้ไขเพิกถอนสารบัญการจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 73784 และ 73785ตำบลสวนหลวง (คลองประเวศฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนงจังหวัดพระนครให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังเดิม หากจำเลยที่ 4 ที่ 5และที่ 7 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7คำขอนอกนั้นให้ยก

          จำเลย ที่ 4 ที่ 5 และ ที่ 7 อุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

          จำเลย ที่ 4 ที่ 5 และ ที่ 7 ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 4 และที่ 5นั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วยการรับโอนมาโดยนิติกรรมซึ่งได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามเอกสารหมาย จ.24 และโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย ล.27 และล.28 เป็นฉบับที่แท้จริง จำเลยที่ 4 และที่ 5 รับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก และมาตรา 1299วรรคแรก จำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ส่วนโจทก์ที่ได้รับโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2มาเป็นโฉนดที่ดินปลอมย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงและไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 6 และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.5แม้โฉนดที่ดินฉบับเจ้าของที่ดินตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมายจ.1 และ จ.2 ที่โจทก์รับมาจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7เป็นโฉนดที่ดินปลอม แต่โฉนดที่ดินฉบับหลวงตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.15 และ จ.16 ก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเช่นนี้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงย่อมเป็นของโจทก์ตามกฎหมาย การที่มีบุคคลอื่นซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงอ้างว่าเป็นตัวโจทก์โดยใช้บัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านที่ระบุว่าเป็นของโจทก์ปลอม กับหนังสือให้ความยินยอมที่ระบุว่าเป็นของภริยาโจทก์ปลอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 แม้จะได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตามแต่เมื่อบุคคลดังกล่าวไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงไม่มีสิทธิที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นได้ จำเลยที่ 1ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ก็ย่อมไม่มีสิทธิใด ๆ ในการที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นเช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งได้แก้ชื่อในสารบัญจดทะเบียนของโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นชื่อของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ก็ตามจำเลยที่ 4 และที่ 5ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ เพราะเมื่อผู้โอนไม่มีสิทธิที่จะโอนให้แก่ผู้รับโอน ผู้รับโอนจะได้สิทธิซึ่งไม่มีอยู่ไม่ได้

          ข้อที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยมูลละเมิดและเรียกทรัพย์คืน จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 และ 193/30เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 10 ปี จึงขาดอายุความนั้น ในเรื่องมูลละเมิดศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า คดีโจทก์ขาดอายุความจึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก แต่ในเรื่องเรียกทรัพย์คืน ในคดีนี้เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ โจทก์จึงถูกโต้แย้งสิทธิอยู่ตลอดเวลาที่ทรัพย์สินของตนยังอยู่ในความครอบครองของบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดไว้ได้เสมอ ไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความที่จำเลยที่ 4และ 5 อ้างว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 บัญญัติว่า"ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอบและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย" การเรียกทรัพย์คืนจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 193/9 และ 193/10 นั้น เห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 1336 ดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่กำหนดถึงสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินว่ามีสิทธิอย่างใดบ้าง ที่กฎหมายให้ความคุ้มครองอันเป็นอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพย์สิทธิอย่างหนึ่ง หาใช่การบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหน้าที่จะต้องใช้ภายในกำหนดอายุความดังที่บัญญัติไว้ในบรรพ 1 ลักษณะ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สินจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 193/9และ 193/30 ดังที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 อ้าง

          ข้อที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น จำเลยที่ 4และที่ 5 ไม่ได้ให้การสู้คดีไว้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหานี้ให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

          ส่วนที่จำเลยที่ 7 ฎีกาว่า นายมะน้อม บุญกระโทก เจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการจดทะเบียนไปโดยมิได้ประมาทเลินเล่อจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ทั้งมูลคดีในเรื่องละเมิดขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ 7 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 ได้ร่วมกันวางแผนมาตั้งแต่ต้นโดยออกโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2(ล.21 และ ล.22) ให้แก่โจทก์ส่วนโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.13 และล.14 เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 เก็บไว้ มิฉะนั้นการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจกระทำได้และทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินโดยระบุอายุโจทก์ไม่ตรงต่อความจริงกับปลอมลายมือชื่อโจทก์ในฐานะผู้รับให้ตามเอกสารหมาย ล.12เก็บไว้ในสารบบที่ดินพิพาทไว้ด้วยต่อมาก็นำบัตรประจำตัวประชาชนสำเนาทะเบียนบ้าน และหนังสือให้ความยินยอมของภริยาโจทก์ปลอมมาจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 โดยอ้างเอาเอกสารหมาย ล.12 เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวหากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 ไม่ได้ร่วมกระทำด้วย บุคคลภายนอกโดยลำพังไม่มีทางที่จะกระทำได้เมื่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 ได้กระทำไปเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 7 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์และแม้ว่ามูลละเมิดจะขาดอายุความแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 7 ดำเนินการแก้ไขโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้ถูกต้องเพื่อแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นการเรียกทรัพย์คืนได้
          พิพากษายืน
 
( ชูชาติ ศรีแสง - จิระ บุญพจนสุนทร - วินัย วิมลเศรษฐ )           

 

 

ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว 

ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องเนื่องจากผู้ร้องได้ไปติดต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา (ขอวีซ่า) ให้กับบุตรผู้เยาว์ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผู้ร้องจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวเสียก่อน ผู้ร้องจึงจะสามารถพาบุตรผู้เยาว์ เดินทางออกนอกประเทศไทย และสามารถดำเนินการผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้ผู้ร้องมาดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลนี้ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวของเด็กหญิง เอ บุตรผู้เยาว์ เสียก่อนจึงจะดำเนินการให้ได้

ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก

การขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อเจ้ามรดกตาย  ทรัพย์สมบัติของเจ้ามรดก ตกเป็นของทายาททันที และก็ยังรวมถึงหนี้สินด้วย ความรับผิดก็ตกทอดมาถึงทายาทเหมือนกัน  แต่ก็รับผิดในฐานะเป็นทายาทเท่านั้นไม่ใช้ฐานะส่วนตัว แม้ว่ากองมรดกจะตกทอดแก่ทายาทแล้วก็ตาม  ก็อาจมีปัญหาขัดข้องในการจัดสรรแบ่งปันมรดก หรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่ หรือจะไปโอนที่ดินเป็นของตน เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้ ลูกหนี้เจ้ามรดกไม่ยอมชำระหนี้ ธนาคารไม่ยอมให้เบิกเงินของผู้ตาย โดยต้องนำเอาคำสั่งศาลตั้งผู้นั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาให้ดูมาแสดงเสียก่อนว่าผู้มาติดต่อนั้นศาลได้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วมิฉะนั้นไม่ดำเนินการให้  ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทายาทจะต้องไปดำเนินการขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็จะเสียเวลาพอสมควรกว่าจะยื่นคำร้องขอและกว่าจะไต่สวนคำร้องและศาลมีคำสั่ง 

 

 




แบบสัญญาประเภทต่าง ๆ แบบพิมพ์สัญญา

แบบฟอร์ม หนังสือยินยอมของคู่สมรส (แบบที่หนึ่ง)
แบบฟอร์ม หนังสือยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม หนังสือมอบอำนาจ ทั่วไป
แบบฟอร์ม สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน (ตามที่รังวัดได้จริง)
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน (น.ส.3 ก.)
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน (ตามที่รังวัดได้จริง-เหมายกแปลง)
แบบฟอร์ม สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน (เหมายกแปลง)
แบบฟอร์ม สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน (เหมายกแปลง)
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาเช่าตึกแถว
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาเช่าที่ดิน
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาเช่าบ้าน
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาเช่าพื้นที่ในอาคาร
แบบฟอร์ม สัญญาเช่าห้องพักอาศัย (แบบที่หนึ่ง)
แบบฟอร์ม สัญญาเช่าห้องพักอาศัย (แบบที่สอง)
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาเช่า (1)
พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ (แบบที่หนึ่ง)
พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ (แบบที่สอง)
พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ (แบบที่สาม)
แบบฟอร์ม พินัยกรรมแบบธรรมดา (แบบที่หนึ่ง)
แบบฟอร์ม พินัยกรรมแบบธรรมดา (แบบที่สอง)
แบบฟอร์ม พินัยกรรมแบบธรรมดา (แบบที่3)
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม พินัยกรรมแบบทำด้วยวาจา
หนังสือให้ความยินยอมในการร้องขอจัดการมรดก
สัญญากู้ยืมเงิน (มีบุคคลค้ำประกัน)
สัญญากู้ยืมเงิน (มีทรัพย์สินวางเป็นประกัน)
สัญญากู้ยืมเงิน (มีทรัพย์สินวางเป็นประกัน)
สัญญากู้ยืมเงิน (จดทะเบียนจำนองทรัพย์สินเป็นประกัน)
สัญญากู้ยืมเงิน (มอบโฉนดไว้เป็นประกัน)
สัญญากู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายใหม่
สัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงิน (แบบที่สอง)
สัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงิน (แบบที่หนึ่ง)
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม หนังสือสัญญาค้ำประกัน
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาค้ำประกัน (2)
แบบฟอร์ม สัญญาค้ำประกันการผ่อนชำระหนี้
แบบฟอร์ม สัญญาค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน
แบบฟอร์ม สัญญาค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน (2)
หนังสือมอบอำนาจ (ให้ยื่นจดทะเบียนต่อนายทะเบียน)
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาจอง
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาเช่าช่วง
แบบฟอร์ม สัญญาเช่าซื้อที่ดินและอาคาร
แบบฟอร์ม สัญญาถือกรรมสิทธิ์ร่วม
แบบฟอร์ม สัญญานายหน้า (ซื้อขายที่ดิน)
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาภารจำยอม
แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดิน
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาให้สิทธิเก็บกิน
ตัวอย่างสัญญาให้สิทธิอาศัย
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาโอนหุ้น
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม สัญญาโอนสิทธิการเช่า
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ แบบฟอร์ม หนังสือทัณฑ์บน
หนังสือมอบอำนาจ
ตัวอย่าง แบบพิมพ์ หนังสือรับสภาพหนี้
หนังสือรับสภาพหนี้ (แบบที่ 1)
หนังสือรับสภาพหนี้ (แบบที่ 2)
หนังสือหย่าโดยความยินยอม
ตัวอย่างสัญญาซื้อขาย
ตัวอย่าง สัญญาซื้อขายรถยนต์
ตัวอย่าง แบบพิมพ์สัญญาจ้างว่าความ
ตัวอย่างสัญญาขายฝากทั่วไป (แบบขายฝากสังหาริมทรัพย์)
สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างบ้านและสิ่งปลูกสร้าง(โครงการบ้านจัดสรร)
ตัวอย่างสัญญาจ้างพนักงานทดลองงาน