ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกตามบันทึกการหย่า

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont

 

ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกตามบันทึกการหย่า

บิดามารดาตกลงยกที่ดินให้ลูกจะมีผลเมื่อลูกแสดงเจตนารับเอาสัญญายกให้จากบิดามารดานั้นตามสัญญา เมื่อได้แสดงเจตนาแล้วสิทธิในที่ดินย่อมตกได้แก่ลูกทันที บิดามารดาไม่อาจยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงได้ การให้ในลักษณะนี้ไม่ต้องไปจดทะเบียนต่อสำนักงานที่ดินก็มีผลผูกพัน เพราะไม่ใช่การให้ หรือคำมั่นว่าจะให้อสังหาริมทรัพย์ ตาม มาตรา 525,  526 
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6478/2541
 
          ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า กับบันทึกการหย่าซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำขึ้นต่างหาก มีข้อความระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 7 แปลงให้แก่บุตรทั้งสอง โดยระบุหมายเลขที่ดินทุกแปลงไว้อย่างชัดแจ้งการที่จำเลยทำข้อตกลงดังกล่าวโดยโจทก์เป็นคู่สัญญาจึงเป็นการทำสัญญาเพื่อชำระหนี้แก่บุตรทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แม้จะไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตาม ข้อตกลงนั้น กรณีหาใช่การให้หรือคำมั่นว่าจะให้ อสังหาริมทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525,526 ไม่ ภายหลังที่โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุตรทั้งสอง โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุตรทั้งสอง ตามข้อสัญญาแต่จำเลยเพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ในฐานะ คู่สัญญาและได้กระทำการแทนบุตรทั้งสองซึ่งเป็น ผู้เยาว์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่จะถือเอาประโยชน์ จากข้อตกลงในสัญญานั้นแล้วจำเลยจะยกเหตุว่า บุตรทั้งสองยังไม่ได้แสดงเจตนามายังจำเลยเพื่อให้ ระงับสิทธินั้นหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 375
 

มาตรา 374  ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้
ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาตรา 375  เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่

มาตรา 525  การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ
 
มาตรา 526  ถ้าการให้ทรัพย์สินหรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับไซร้ท่านว่าผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้นได้ แต่ไม่ชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยอีกได้
 
          โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับจำเลยได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเกิดบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายเขมพันธ์ จันทร์ชมภู และนางสาวจีรพันธ์ จันทร์ชมภู ต่อมาโจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันและทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าว่า ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเลขที่ 25, 100, 102, 810, 810 (ที่ถูก 812), 826 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเลขที่ 542 ให้แก่บุตรทั้ง 2 คนดังกล่าวแต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือสิทธิของที่ดินตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์กับนางสาวจีรพันธ์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

          จำเลยให้การว่า จำเลยไม่จำต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าเพราะทรัพย์สินที่ระบุในบันทึกเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
          ในระหว่างสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบคู่ความแล้วคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่าจากการเป็นสามีภริยากัน และได้ทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนการหย่า ลงวันที่ 11 มกราคม 2536 ทำต่อหน้าเจ้าพนักงานปกครองอำเภอเมืองอุดรธานี จำเลยสละประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาจะผูกพันตามบันทึกการหย่าและแบ่งสินสมรสศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเลขที่ 25หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 86) จำนวน 1 ไร่ 2 งาน82 ตารางวา ที่ดินเลขที่ 100 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 1761)จำนวน 3 งาน 20 ตารางวา และที่ดินเลขที่ 102 หมายเลข 5443(เลขทะเบียน 1763) จำนวน 1 ไร่ (ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี) ที่ดินเลขที่ 810 (ที่ถูกเป็น 812) หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 4319) จำนวน 6 ไร่ 2 งาน ที่ดินเลขที่ 810 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 4319) จำนวน 11 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา ที่ดินเลขที่ 526 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 5859) จำนวน 1 งาน 68 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเลขที่ 542 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 3868) จำนวน 96 ตารางวา(ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี) ให้แก่นายเขมพันธ์ และนางสาวจีรพันธ์ จันทร์ชมภู ร่วมกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเกิดบุตรด้วยกัน 2 คน เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2536 โจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าระบุยกที่ดินรวม 7 แปลงตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์และนางสาวจีรพันธ์ บุตรทั้งสอง ตามบันทึกการหย่าลงวันที่ 11 มกราคม 2536 คดีมีปัญหาต้อง วินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าที่ระบุให้จำเลยยกทรัพย์สินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสอง มีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าข้อความที่ปรากฏในบันทึกท้ายทะเบียนหย่านั้นเป็นเพียงคำมั่นว่าจำเลยจะให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลยให้แก่บุตรทั้งสองคนโดยเสน่หา ซึ่งตกอยู่ในบังคับมาตรา 525, 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หาใช่เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก และภายหลังที่จำเลยได้จดทะเบียนหย่าตามข้อตกลงดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้จดทะเบียนยกทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งสองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายแต่อย่างใด บันทึกท้ายทะเบียนหย่าจึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายและไม่ผูกพันจำเลยนั้นเห็นว่า ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า กับบันทึกการหย่าซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำขึ้นต่างหาก ก็มีข้อความระบุว่าโจทก์จำเลยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 7 แปลงตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์ จันทร์ชมภู กับ เด็กหญิงจีรพันธ์ จันทร์ชมภู บุตรทั้งสองโดยระบุหมายเลขที่ดินทุกแปลงไว้โดยชัดแจ้ง การที่จำเลยทำข้อตกลงดังกล่าวโดยโจทก์เป็นคู่สัญญาด้วย เป็นการทำสัญญาเพื่อชำระหนี้แก่บุตรทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แม้จะไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น จึงมิใช่การให้หรือคำมั่นว่าจะให้อสังหาริมทรัพย์อันตกอยู่ในบังคับมาตรา 525, 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่จำเลยอ้าง

          ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะไม่ปรากฏว่าบุตรทั้งสองของโจทก์จำเลยยังไม่ได้แสดงเจตนามายังจำเลยจะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญานั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าภายหลังที่โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงนั้นแล้วจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสองของโจทก์กับจำเลย โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสองตามข้อสัญญา ตามหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2536ซึ่งจำเลยได้ทราบแล้วแต่เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ในฐานะคู่สัญญาและได้กระทำการแทนบุตรทั้งสองซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่จะถือเอาประโยชน์จากข้อตกลงในสัญญานั้นแล้ว จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวเพื่อให้ระงับสิทธินั้นหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 375 และที่จำเลยอ้างว่า จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงระบุยกทรัพย์สินให้แก่บุตรทั้งสองเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม โดยจำเลยเข้าใจว่าทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรส จึงเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับไม่ได้ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 นั้น เห็นว่าประเด็นข้อต่อสู้ดังกล่าวจำเลยได้แถลงสละประเด็นไว้แล้วตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่3 สิงหาคม 2538 ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย

          จำเลยฎีกาปัญหาข้อสุดท้ายว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทรัพย์สินตามบันทึกการหย่าเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยต้องปฏิบัติตามบันทึกการหย่านั้นหรือไม่ ซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยก่อนว่าทรัพย์สินตามบันทึกการหย่านั้นเป็นทรัพย์สินประเภทใดของจำเลย แล้วจึงวินิจฉัยว่าจำเลยต้องปฏิบัติตามบันทึกการหย่านั้นหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นได้สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยทำให้หาข้อยุติไม่ได้ดังกล่าว และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย โจทก์ก็ไม่ทักท้วง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบสนับสนุนตามฟ้อง ศาลต้องยกฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่าอำนาจในการวินิจฉัยว่าตามคำฟ้อง คำให้การและคำรับของคู่ความเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังยุติได้หรือไม่ อย่างไรเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกระทำได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
          พิพากษายืน
 
 
( ธรรมนูญ โชคชัยพิทักษ์ - สมชัย สายเชื้อ - วิรักษ์ เอื้ออังกูร )
 
 
หมายเหตุ
          ตามปกติเมื่อคู่กรณีตกลงทำสัญญากันแล้ว สัญญานั้นจะมีผลผูกพันเฉพาะบุคคลที่เป็นคู่สัญญาเท่านั้น จะไม่มีผลผูกพันไปถึงบุคคลภายนอก แต่อย่างไรก็ตามหากคู่สัญญาจะตกลงกันเพื่อให้สัญญามีผลไปถึงบุคคลภายนอกก็ย่อมจะสามารถทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง และเป็นไปตามหลักเสรีภาพแห่งการแสดงเจตนา และความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนา แต่จากหลักกฎหมายดังกล่าวกฎหมายจำกัดว่า การทำสัญญาให้มีผลผูกพันบุคคลภายนอกนั้นจะต้องทำเพื่อให้บุคคลภายนอกได้รับประโยชน์เท่านั้น จะทำสัญญาเพื่อให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายหรือกำหนดให้เป็นผลร้ายแก่บุคคลภายนอกไม่ได้

           สัญญาใดมีข้อกำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ถือว่าเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกทั้งสิ้นซึ่งบุคคลภายนอกในที่นี้ หมายถึง บุคคลอื่นทั้งหมดที่มิใช่คู่สัญญาโดยไม่คำนึงว่าจะมีความเกี่ยวพันเป็นญาติหรือมีสิทธิอย่างใด ๆกับคู่สัญญาหรือไม่ แม้จะปรากฎว่ามีความเกี่ยวพันเป็นญาติกับคู่สัญญา แต่เมื่อคู่สัญญากำหนดให้เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาก็ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกในความหมายนี้เช่น

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516 คู่สัญญาทำสัญญาเช่าซื้อโดยมีข้อสัญญาว่าให้ผู้เช่าซื้อระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อแทนได้เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรมและผู้เช่าซื้อได้ระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อไว้แล้ว ข้อสัญญาดังกล่าวนี้เป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ฉะนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม และทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาต่อผู้ให้เช่าซื้อ ตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิในการเช่าซื้อจึงตกเป็นของทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ตกเป็นมรดกของผู้ตายต่อไป

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2537 บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินหลังทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลย นอกจากโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาซึ่งกันและกันแล้ว ยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือ แทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน2 แปลง และบ้านอีก 1 หลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากันสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 374 มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา

           กรณีสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกนี้ เมื่อบุคคลภายนอกแสดงเจตนาเพื่อจะถือเอาประโยชน์ตามสัญญาแล้วก็เกิดสิทธิเรียกร้องแก่บุคคลภายนอก ถือว่าบุคคลภายนอกนั้นเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาโดยตรง มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามสัญญาแก่ตนเองได้โดยตรง ไม่ต้องอาศัยสิทธิของคู่สัญญา(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2435/2536) แต่หากบุคคลภายนอกยังไม่ได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ตามสัญญา สิทธิเรียกร้องก็ยังไม่เกิดแก่บุคคลภายนอก เมื่อบุคคลภายนอกตายไปทายาทจะแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาแทนไม่ได้เพราะไม่ถือว่าสิทธิดังกล่าวตกทอดเป็นทรัพย์มรดกไปยังทายาทของบุคคลภายนอกนั้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2401/2515)

           อย่างไรก็ตามแม้บุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาทำให้บุคคลภายนอกเป็นเจ้าหนี้โดยตรงตามสัญญาก็ตาม แต่ความผูกพันกันระหว่างคู่สัญญาก็ยังคงมีอยู่ตามที่ทำสัญญากันไว้ ดังนั้น หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา คู่สัญญาอีกฝ่ายย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2565/2536)

           จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้ โจทก์และจำเลยทำสัญญายกที่ดินให้แก่บุตรถึงแม้ว่าบุตรจะเป็นทายาทของโจทก์และจำเลยตามกฎหมาย มีสิทธิสืบมรดกของโจทก์และจำเลยในฐานะผู้สืบสันดานก็ตาม แต่เมื่อบุตรไม่ใช่คู่สัญญาเป็นเพียงบุคคลที่ถูกระบุให้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยเท่านั้นถือว่าโจทก์และจำเลยทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่งสามารถใช้บังคับได้และแม้บุตรจะอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาโดยตรงก็ตาม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาก็ยังมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
           ธีรศักดิ์เงยวิจิตร
 

 

 คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก

จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาททุกคน เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปี

ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?

ผู้สืบสันดานก็คือ บุตรของผู้ตาย หรือบุตรของบุตรของผู้ตาย (ลูกของลูก) และถัดลงไปเรื่อย ๆ จนไม่ขาดสาย ดังนั้นคำว่าผู้สืบสันดานต่างชั้นกันคือ ชั้นบุตร กับชั้นบุตรของบุตร ซึ่งต่างก็เป็นผู้สืบสันดานด้วยกันทั้งนั้น แต่กฎหมายกำหนดลำดับชั้นไว้ให้ชั้นผู้สืบสันดานชั้นสนิทที่สุดกับผู้ตายมีสิทธิรับมรดกก่อน  คำว่า "ทายาท" กับทายาทโดยธรรม มีความหมายเหมือนกัน แต่ทายาทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ทายาทโดยธรรม และทายาทตามพินัยกรรม 

 

 




สัญญาซื้อขายเช่าซื้อและขายฝาก

ผิดนัดให้สัญญาเลิกกันทันทีโดยมิจำต้องบอกกล่าวก่อน
สภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้ดำเนินการตามคำขอของโจทก์ได้
สัญญาจะซื้อจะขาย-แบ่งชำระราคาเป็น 2 งวด
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
สืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร
การซื้อขายอะไหล่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือฟ้องร้องได้หรือไม่?
สัญญาจะซื้อจะขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
เช่าซื้อรถยนต์แล้วนำไปขายดาวน์คนซื้อไม่ผ่อนต่อ
สัญญาเช่าซื้อที่ดินระบุชื่อบุตรเป็นผู้รับสิทธิเมื่อตาย
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย
ผิดสัญญาจะซื้อขาย รับผิดชำระดอกเบี้ย
ซ่อมหลังคา ทาสีเพื่อสวยงามเป็นหน้าที่ของผู้เช่า
สัญญาขายฝาก | การวางทรัพย์
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ |รถยนต์ถูกลักไป | ใช้สิทธิไม่สุจริต
ข้อสัญญาเป็นสาระสำคัญ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สัญญาเช่าซื้อไม่ทำตามแบบเป็นโมฆะ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สัญญาเช่าซื้อกับสัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง
สิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหาย
ตกลงค่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน
ค่าขาดประโยชน์ที่ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ
ผู้ขายถึงแก่ความตายก่อนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
การฝากเงินกับธนาคารเป็นสัญญาฝากทรัพย์
พนักงานธนาคารฝากเงินผิดบัญชีเรียกคืนได้