
การฝากเงินกับธนาคารเป็นสัญญาฝากทรัพย์
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont
การฝากเงินกับธนาคารเป็นสัญญาฝากทรัพย์ ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา สามีภริยาเปิดบัญชีเงินฝากรวมกัน เงินฝากในบัญชีธนาคารเป็นสินสมรส การฝากเงินกับธนาคารเป็นสัญญาฝากทรัพย์ การเบิกถอนเงินจากธนาคารต้องลงลายมือชื่อร่วมกัน การลงลายมือชื่อร่วมกันในการเบิกถอนเงินถือเป็นสาระสำคัญ หากมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ สัญญาฝากทรัพย์ในกิจการของธนาคารพึงต้องใช้ความระมัดระวังเท่าที่เป็นธรรมดาที่ต้องใช้และสมควรต้องใช้ เมื่อเงินในบัญชีเป็นสินสมรส ธนาคารต้องรับผิดชดใช้เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8144/2548 มาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน การที่โจทก์กับ ม. ขอเปิดบัญชีร่วมกับธนาคารจำเลยที่ 1 โดยกำหนดเงื่อนไขในการเบิกถอนเงินจากบัญชีว่าโจทก์กับ ม. ต้องลงลายมือชื่อร่วมกันจึงจะเซ็นสั่งจ่ายเงินจากบัญชีได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวจากสัญญาฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ถือเอาเงื่อนไขการเบิกถอนเงินตามที่กำหนดไว้ในคำขอเปิดบัญชีร่วมเป็นสาระสำคัญและเป็นเงื่อนไขที่ทำให้โจทก์ผู้ฝากเงินเกิดความมั่นใจว่าหากโจทก์มิได้ร่วมลงลายมือชื่อในใบถอนเงินด้วย จะไม่มีใครสามารถที่จะเบิกถอนเงินจากบัญชีได้ ดังนั้น หากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเงื่อนไขการเบิกถอนเงินเช่นว่านี้เป็นอย่างอื่น ย่อมต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญยิ่งของสัญญาฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 กล่าวคือ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเงื่อนไขดังกล่าวก็ชอบที่ฝ่ายโจทก์คือทั้งโจทก์และ ม. จะต้องมาปรากฏตัวแสดงตนต่อจำเลยที่ 1 ด้วยตนเองหรือทำหนังสือมอบอำนาจมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ การที่จำเลยที่ 1 เห็นว่า โจทก์และ ม. เป็นลูกค้ารายใหญ่และยอมผ่อนปรนวิธีปฏิบัติให้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องให้บุคคลทั้งสองมาปรากฏตัวเพื่อแสดงความประสงค์พร้อมกันด้วยตนเองต่อจำเลยที่ 1 นั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มุ่งหมายเพียงเพื่อการเอาใจลูกค้ารายใหญ่ให้ได้รับความสะดวกโดยไม่ถือปฏิบัติเช่นที่ต้องปฏิบัติตามปกติ ถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่เป็นธรรมดาที่ต้องใช้และสมควรต้องใช้ในกิจการธนาคารพาณิชย์ของตน เมื่อลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินฝากเป็นลายมือชื่อปลอม พนักงานของจำเลยที่ 1 ตรวจสอบแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นลายมือชื่อปลอมจึงอนุมัติให้ ม. เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกถอนได้ เช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ผู้รับฝากซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์มิได้ใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้ในกิจการธนาคารของตนในส่วนนี้อีกโสดหนึ่งด้วย ขณะที่โจทก์กับ ม. เปิดบัญชีร่วมต่อจำเลยที่ 1 และ ม. ยื่นหนังสือขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินจากบัญชี รวมทั้งขณะที่ ม. เบิกถอนเงินจากบัญชีร่วมดังกล่าวไปแต่ผู้เดียวนั้น โจทก์กับ ม. ยังเป็นสามีภริยากัน ซึ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาย่อมเป็นสินสมรส ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1470 และถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ตามมาตรา 1474 วรรคสอง บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ประกอบกับหากเงินในบัญชีเงินฝากเป็นของโจทก์คนเดียว ก็ไม่มีเหตุที่โจทก์กับ ม. จะกำหนดเงื่อนไขการเบิกถอนเงินว่าต้องลงลายมือสั่งจ่ายทั้งสองคนร่วมกัน จึงฟังว่าเงินในบัญชีเงินฝากที่ ม. เบิกถอนไปนั้นเป็นสินสมรส ซึ่งโจทก์มีส่วนอยู่เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 10,902,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี ของต้นเงิน 9,328,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 9,328,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวในอัตราที่โจทก์ควรจะได้ หากไม่มีการถอนเงินตามฟ้องออกจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 101 - 267717 - 3 แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับประเด็นปัญหาว่า พนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังตามปกติธรรมดาจะต้องใช้ในกิจการอาชีพธนาคารพาณิชย์ของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นั้น เห็นว่า การที่โจทก์กับนายมอริสขอเปิดบัญชีร่วมต่อธนาคารจำเลยที่ 1 โดยกำหนดเงื่อนไขในการเบิกถอนเงินจากบัญชีว่า โจทก์กับนายมอริสต้องลงลายมือชื่อร่วมกันจึงจะเซ็นสั่งจ่ายเงินจากบัญชีได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวว่าสัญญาฝากทรัพย์ ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ถือเอาเงื่อนไขการเบิกถอนเงินตามที่กำหนดเป็นสาระสำคัญ และเป็นเงื่อนไขที่ทำให้โจทก์ผู้ฝากเงิน เกิดความมั่นใจ หากโจทก์มิได้ร่วมลงลายมือชื่อในใบถอนเงินด้วย จะไม่มีใครสามารถที่จะเบิกถอนเงินจากบัญชีนี้ได้ ดังนั้น หากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเงื่อนไข การเบิกถอนเงินเช่นว่านี้เป็นอย่างอื่น ย่อมต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญยิ่ง ของสัญญาฝากทรัพย์ระหว่างฝ่ายโจทก์ผู้ฝากเงิน กับฝ่ายจำเลยที่ 1 ผู้รับฝากเงิน กล่าวคือ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเงื่อนไขดังกล่าวก็ชอบที่ฝ่ายโจทก์ คือทั้งโจทก์และนายมอริสจะต้องมาปรากฏตัวแสดงตนต่อจำเลยที่ 1 ด้วยตนเอง หรือทำหนังสือมอบอำนาจมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และความข้อนี้ นางอำไพ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 เอง ก็เบิกความถึงวิธีปฏิบัติของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หากโจทก์และนายมอริส จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกถอนเงินก็สามารถจะกระทำได้ หากโดยทั่วไปเป็นลูกค้าปกติจะต้องมาทั้งหมด แต่เนื่องจากโจทก์กับนายมอริส เป็นลูกค้ารายใหญ่ การเปลี่ยนแปลงและเบิกถอนเงินจากบัญชีไม่จำเป็นที่บุคคลทั้งสองจะต้องมาพร้อมกัน อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ผู้รับฝากเงิน และมีวิชาชีพเฉพาะกิจการธนาคารไม่ตระหนักถึงพันธกิจในหน้าที่ของตนที่จะต้องใช้ความระมัดระวังกว่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรต้องใช้ในกิจการเช่นว่านี้ ด้วยการต้องถือปฏิบัติว่าลูกค้าผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกถอนเงินในบัญชีร่วมเช่นนี้จะต้องมาปรากฏตัวต่อธนาคารด้วยตนเองทุกคนหรือทำหนังสือมอบอำนาจมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 เห็นว่า โจทก์และนายมอริส เป็นลูกค้ารายใหญ่และยอมผ่อนปรนวิธีปฏิบัติให้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องให้บุคคลทั้งสองมาปรากฏตัวเพื่อแสดงความประสงค์พร้อมกันด้วยตนเองต่อจำเลยที่ 1 นั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มุ่งหมายเพียงเพื่อการให้บริการเอาใจลูกค้ารายใหญ่ให้ได้รับความสะดวกโดยไม่ถือปฏิบัติเช่นที่ต้องปฏิบัติตามปกติ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่เป็นธรรมดาที่ต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการธนาคารพาณิชย์ของตนเอง เมื่อลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินฝากเป็นลายมือชื่อปลอม พนักงานของจำเลยที่ 1 ตรวจสอบแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นลายเซ็นปลอม จึงอนุมัติให้นายมอริส เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกถอนได้ โดยกล่าวด้วยว่านายมอริส เป็นลูกค้ารายใหญ่ และคุ้นเคยกับจำเลยที่ 2 เป็นอย่างดี เช่นนี้ ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ผู้รับฝากซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์มิได้ใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรต้องใช้ในกิจการธนาคารพาณิชย์ของตนในส่วนนี้อีกโสดหนึ่งด้วย รวมความแล้วศาลฎีกาเห็นว่า การที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ตรวจไม่พบว่าลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากเป็นลายเซ็นปลอมและอนุมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกถอนเงินได้นั้น เข้าเกณฑ์เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ผู้รับฝากซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพธนาคารพาณิชย์มิได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการธนาคารพาณิชย์ของตนดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 659 วรรคท้าย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เงินในบัญชีร่วมที่ถูกเบิกถอนไปดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 4,664,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวในอัตราที่โจทก์จะได้รับหากไม่มีการถอนเงินตามฟ้องออกจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 101 - 267717 - 3 แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอจนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งสามศาลให้เป็นพับ. ( ธานิศ เกศวพิทักษ์ - วิชัย วิวิตเสวี - เกรียงชัย จึงจตุรพิธ )
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ - นายเลิศชาย จิวะชาติ ศาลอุทธรณ์ - นางสาวปิยกุล บุญเพิ่ม
คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาททุกคน เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปี ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร? ผู้สืบสันดานก็คือ บุตรของผู้ตาย หรือบุตรของบุตรของผู้ตาย (ลูกของลูก) และถัดลงไปเรื่อย ๆ จนไม่ขาดสาย ดังนั้นคำว่าผู้สืบสันดานต่างชั้นกันคือ ชั้นบุตร กับชั้นบุตรของบุตร ซึ่งต่างก็เป็นผู้สืบสันดานด้วยกันทั้งนั้น แต่กฎหมายกำหนดลำดับชั้นไว้ให้ชั้นผู้สืบสันดานชั้นสนิทที่สุดกับผู้ตายมีสิทธิรับมรดกก่อน คำว่า "ทายาท" กับทายาทโดยธรรม มีความหมายเหมือนกัน แต่ทายาทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ทายาทโดยธรรม และทายาทตามพินัยกรรม
|