ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont

 

ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย

การชำระหนี้อันเนื่องมาจากการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายนั้น คู่สัญญาจะต้องชำระหนี้ในลักษณะสัญญาต่างตอบแทนภายหลังจากสัญญาเลิกกันแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม แล้วการกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมหมายความว่าอย่างอย่างไร ก็ให้คู่สัญญากลับไปเสมือนไม่มีการทำนิติกรรมกันมาก่อนเลย เช่นผู้ซื้อที่ดินต้องคืนที่ดินให้ผู้ขาย และผู้ขายต้องคืนเงินที่ผู้ซื้อได้ชำระหนี้ไปแล้วหรือได้ชำระหนี้ไปเพียงบางส่วนก็ตาม ในคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน แต่ไม่ได้มีคำพิพากษาให้ผู้ขายคืนเงินมัดจำและคืนเช็คค่าที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งเป็นการตอบแทนอันเนื่องมาจากการบอกเลิกสัญญา จึงไม่ใช่กรณีที่ให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมจึงไม่ชอบ

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3235/2554

          การให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมเนื่องจากการเลิกสัญญาจะซื้อจะขายเป็นการชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดจากการเลิกสัญญา คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องปฏิบัติต่อกันในลักษณะสัญญาต่างตอบแทน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 392 ประกอบมาตรา 391 และมาตรา 369 เมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ให้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยจึงยังไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการชำระหนี้ตอบแทนโจทก์ทั้งสอง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ต่าง ๆ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินที่เคยตกลงซื้อจากโจทก์ทั้งสองและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยมิได้ให้โจทก์ทั้งสองคืนเงินมัดจำและเช็คที่ได้รับไว้จากจำเลย อันเป็นการชำระหนี้ต่างตอบแทนที่เกิดจากการเลิกสัญญาและกลับคืนสู่ฐานะเดิมให้แก่จำเลยด้วยนั้นจึงไม่ชอบ

มาตรา 369  ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้ หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด
 
มาตรา 391  เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่
ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้
ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นๆ หรือถ้าในสัญญามีกำหนดว่าให้ใช้เงินตอบแทน ก็ให้ใช้ตามนั้น
การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่
 
มาตรา 392  การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 369
 
           โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นเงาะ ต้นลองกองและต้นไม้ต่างๆ ที่ปลูกไว้ในที่ดินที่จำเลยเคยตกลงซื้อจากโจทก์ทั้งสองตามคำฟ้อง และขนย้ายออกไปจากที่ดินนั้น ห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินนั้นอีกต่อไป ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเสาไฟฟ้าในที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านทิศเหนือที่จำเลยขออนุญาตทำถนนผ่านเข้าที่ดินแปลงที่ซื้อขายและขนย้ายออกไปจากที่ดินดังกล่าว ห้ามยุ่งเกี่ยวในที่ดินนั้นอีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวนเดือนละ 20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกับต้นไม้และขนย้ายออกไปจากที่ดินดังกล่าวเสร็จสิ้น
          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นเงาะ ต้นลองกอง และต้นไม้ต่างๆ ที่จำเลยปลูกไว้ในที่ดินที่จำเลยเคยตกลงซื้อจากโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเสาไฟฟ้าในที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยขออนุญาตโจทก์ทั้งสองทำถนนผ่านเข้าที่ดินแปลงที่ซื้อขายกับขนย้ายออกจากที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินนั้น และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองจำนวนเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันที่ 11 ธันวาคม 2541 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ต่างๆ ที่จำเลยและบริวารปลูกไว้ออกจากที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท
          จำเลยอุทธรณ์
            ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง

          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองและจำเลยต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองจำนวนเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันที่ 11 ธันวาคม 2541 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ต่าง ๆ ที่จำเลยและบริวารปลูกไว้ออกจากที่ดินดังกล่าวดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2537 โจทก์ทั้งสองตกลงขายที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 25 ตำบลเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด บางส่วนให้จำเลย เป็นการขายเหมาในราคา 4,000,000 บาท ที่ดินที่ขายทิศตะวันออกจดที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 30 ทิศเหนือจดที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 30 และจดแนวคลอง จำเลยวางมัดจำค่าที่ดินจำนวน 500,000 บาท โดยออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้โจทก์ทั้งสองจำนวน 2 ฉบับ ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้รับเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้ว ส่วนที่เหลือจำเลยออกเช็คลงวันที่ 5 มกราคม 2543 สั่งจ่ายเงินจำนวน 3,500,000 บาท มอบให้โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองได้ส่งมอบที่ดินพิพาทที่ตกลงขายให้จำเลยเข้าปรับปรุงได้ตั้งแต่วันทำสัญญาและอนุญาตให้จำเลยทำถนนในที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยไม่ได้ซื้อเพื่อให้ออกสู่ถนนสาธารณะได้ด้วย โจทก์ทั้งสองกับจำเลยตกลงกันว่า โจทก์ทั้งสองต้องยื่นคำร้องขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว โจทก์ก็จะโอนให้จำเลยโดยจำเลยจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือให้จำเลยเป็นผู้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เองก็ได้ ในการทำสัญญาจำเลยให้ระบุชื่อนางสาวสายฝน และนางสุเพ็ญ เป็นผู้ซื้อร่วมกับจำเลยด้วย ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินลงวันที่ 8 ธันวาคม 2537 ต่อมาวันที่ 30 พฤษภาคม 2538 นางสาวสายฝนได้ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทตาม เจ้าพนักงานที่ดินออกไปทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนแล้ว ปรากฏว่าที่ดินที่ขอไม่ตรงกับหลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 25 นางสาวสายฝนจึงขอถอนคำขอนั้นออกไป ต่อมาเดือนตุลาคม 2538 จำเลยให้ทนายความมีหนังสือถึงโจทก์ทั้งสองแจ้งว่าที่ดินพิพาทที่ตกลงจะซื้อขายไม่สามารถออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้เพราะไม่มี ส. ค. 1 จำเลยจึงไม่ประสงค์จะซื้ออีกต่อไป ให้โจทก์ทั้งสองคืนเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท และเช็คฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2543 ที่สั่งจ่ายเงินจำนวน 3,500,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาทตามหนังสือลงวันที่ 12 ตุลาคม 2538 ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์ทั้งสองให้ทนายความมีหนังสือแจ้งจำเลยว่า โจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะขายที่ดินพิพาทให้ต่อไปแล้วและขอริบเงินมัดจำ กับให้จำเลยรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปจากที่ดินโดยโจทก์ทั้งสองถือว่าการบอกเลิกสัญญาของจำเลยดังกล่าวเป็นการผิดสัญญา ส่วนจำเลยนำสืบว่า การทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทมีเงื่อนไขว่าโจทก์ทั้งสองจะไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วโอนให้จำเลยหรือจะให้จำเลยเป็นผู้ไปขอออกหนังสือนั้นเองก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกของผู้ซื้อ ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 นางสาวสายฝนมอบอำนาจให้จำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามหนังสือมอบอำนาจ คำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และหนังสือเรื่องการระวังชี้แนวเขต แต่ปรากฏว่าที่ดินที่นำชี้ให้รังวัดมีเขตติดทะเลและมีคลองผ่านกลางซึ่งไม่ตรงตามที่ตกลงซื้อขายกันว่าเป็นที่ดินไม่ติดทะเลและไม่มีคลอง แต่จำเลยได้ยืนยันว่าเป็นที่ดินตามที่ตกลงซื้อขายกัน เจ้าพนักงานที่ดินจึงยกเลิกการรังวัด ต่อมาจำเลยแจ้งแก่โจทก์ทั้งสองว่า ที่ดินพิพาทที่ตกลงซื้อขายกันนั้นไม่สามารถออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ และจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539 แจ้งให้โจทก์ทั้งสองลดราคาที่ดินลงและให้นำเช็คที่สั่งจ่ายเงินจำนวน 3,500,000 บาท มาเปลี่ยนเป็นเช็คที่สั่งจ่ายเงินจำนวน 1,000,000 บาท โดยจำเลยได้แจ้งถึงสิทธิครอบครองของจำเลยด้วย ส่วนที่ทนายความจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 ตุลาคม 2538 ตามแจ้งแก่โจทก์ทั้งสองว่าโจทก์ทั้งสองผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน จำเลยจึงบอกเลิกสัญญานั้นเป็นเพราะทนายความเข้าใจผิดเนื่องจากจำเลยแจ้งแก่ทนายความทางโทรศัพท์ ทนายความจำเลยยังไม่เคยเห็นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยแต่จำเลยก็ยังคงครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยได้ปลูกต้นไม้ต่าง ๆ และปลูกบ้านในที่ดินนั้นด้วย โจทก์ทั้งสองไม่เคยคัดค้าน เมื่อเดือนธันวาคม 2538 และเดือนเมษายน 2539 บุตรโจทก์ทั้งสองเข้าไปลักมะพร้าวในที่ดินที่จำเลยครอบครองจนถูกดำเนินคดีอาญา ในการดำเนินคดีดังกล่าวโจทก์ที่ 1 ไปให้การในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลว่า โจทก์ที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยแล้ว ตามคำให้การในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1692/2540 ของศาลชั้นต้น จำเลยไม่เคยปฏิบัติผิดสัญญาและไม่เคยสละการครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งไม่เคยส่งมอบการครอบครองที่ดินนั้นแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่ได้คืนเงินจำนวน 500,000 บาท แก่จำเลย เห็นว่าจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองและจำเลยดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2538 ฝ่ายจำเลยได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทที่โจทก์ทั้งสองจะขายให้จำเลยนางสาวสายฝนและนางสุเพ็ญตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทแต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทได้ ดังนี้ เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขายให้แก่ฝ่ายจำเลยได้ จำเลยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าว ซึ่งปรากฏต่อมาว่าเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2538 จำเลยให้ทนายความมีหนังสือถึงโจทก์ทั้งสองแจ้งว่าที่ดินพิพาทที่ตกลงจะซื้อขายไม่สามารถออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้เพราะไม่มี ส.ค. 1 จำเลยจึงไม่ประสงค์จะซื้ออีกต่อไป ให้โจทก์ทั้งสองคืนเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท และเช็คฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2543 ที่สั่งจ่ายเงินจำนวน 3,500,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท โจทก์ทั้งสองมิได้โต้แย้งการบอกเลิกสัญญาของจำเลยดังกล่าวว่าโจทก์ทั้งสองสามารถขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทได้แต่อย่างใดจำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539 แจ้งแก่โจทก์ทั้งสองว่าที่ดินพิพาทที่ตกลงซื้อขายกันนั้นไม่สามารถออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ จึงขอให้โจทก์ทั้งสองลดราคาที่ดินลงและให้นำเช็คที่สั่งจ่ายเงินจำนวน 3,500,000 บาท มาเปลี่ยนเป็นเช็คที่สั่งจ่ายเงินจำนวน 1,000,000 บาท ส่วนที่ทนายความจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 ตุลาคม 2538 แจ้งแก่โจทก์ทั้งสองว่าโจทก์ทั้งสองผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาเป็นเพราะทนายความเข้าใจผิด เนื่องจากจำเลยแจ้งแก่ทนายความทางโทรศัพท์ ทนายความจำเลยไม่เคยเห็นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย จำเลยยังคงครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยปลูกต้นไม้ต่าง ๆ และปลูกบ้านในที่ดินพิพาทด้วยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่านายจำรัส ทนายความจำเลยซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันที่ทำหนังสือ ถึงโจทก์ทั้งสองได้ระบุในหนังสือลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539 ว่า ที่ทนายความจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 ตุลาคม 2538 ไปบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ทั้งสองนั้นเป็นความเข้าใจผิดของทนายความจำเลยและขอยกเลิกหนังสือบอกเลิกสัญญา นั้นเสียแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่การที่ทนายความจำเลยส่งหนังสือถึงโจทก์ทั้งสองมีระยะเวลาห่างจากการส่งหนังสือถึง 4 เดือน 16 วัน ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักและเหตุผลให้เชื่อว่าการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเกิดจากความเข้าใจผิดของทนายความจำเลย การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท จึงยังคงมีผลผูกพันจำเลยและโจทก์ทั้งสอง หนังสือดังกล่าวเป็นเพียงคำเสนอขึ้นมาใหม่ของฝ่ายจำเลยที่จะขอลดราคาที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้มีคำสนองรับคำเสนอของฝ่ายจำเลยดังกล่าวแต่โจทก์ทั้งสองกลับให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2540 แจ้งบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโดยโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะขายที่ดินพิพาทต่อไปและขอริบเงินมัดจำ เช่นนี้ การขอลดราคาที่ดินพิพาทของฝ่ายจำเลยจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลย เมื่อการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทตามหนังสือลงวันที่ 12 ตุลาคม 2538 ของจำเลยโดยจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ คู่สัญญาฝ่ายโจทก์ทั้งสองต้องคืนเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ทั้งสองได้รับเงินจำนวนดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสอง ประกอบมาตรา 7 และคืนเช็คลงวันที่ 5 มกราคม 2543 ที่จำเลยสั่งจ่ายเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 3,500,000 บาท แก่จำเลย และคู่สัญญาฝ่ายจำเลยต้องออกจากที่ดินที่จำเลยเคยตกลงซื้อจากโจทก์ทั้งสอง โดยทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิมด้วยการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ต่าง ๆ ที่จำเลยปลูกไว้ออกไปกับต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเสาไฟฟ้าในที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยขออนุญาตโจทก์ทั้งสองทำถนนผ่านเข้าที่ดินแปลงที่ซื้อขายและขนย้ายออกจากที่ดินดังกล่าว รวมทั้งต้องชดใช้ค่าใช้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองนับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2537 อันเป็นวันที่จำเลยได้รับมอบการครอบครองที่ดินพิพาทจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดที่จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทในอัตราเดือนละ 10,000 บาท หรือจำนวนปีละ 120,000 บาท นั้น เมื่อคำนึงถึงสภาพที่ตั้งของที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่จำนวนประมาณ 10 ไร่ และเป็นที่ดินที่ยังไม่สามารถขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ทั้งโจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจะสามารถหาผลประโยชน์จากที่ดินด้วยวิธีใดเป็นเงินจำนวนเท่าใดแล้ว เห็นว่า ค่าเสียหายจำนวนปีละ 120,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดนั้น ยังสูงเกินไป เห็นสมควรกำหนดค่าใช้ที่ดินพิพาทให้เหมาะสมกับสภาพและที่ตั้งที่ดินนั้น เป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท การให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมเนื่องจากการเลิกสัญญาดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญา คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องปฏิบัติต่อกันในลักษณะสัญญาต่างตอบแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 392 ประกอบมาตรา 391 และมาตรา 369 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายโจทก์ทั้งสองมิได้ให้จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมด้วยการคืนเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่เวลาที่โจทก์ทั้งสองได้รับเงินจำนวนดังกล่าวและคืนเช็คลงวันที่ 5 มกราคม 2543 ที่จำเลยสั่งจ่ายเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 3,500,000 บาท แก่จำเลย จำเลยจึงยังไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการชำระหนี้ตอบแทนโจทก์ทั้งสองด้วยการออกไปจากที่ดินที่จำเลยเคยตกลงซื้อจากโจทก์ทั้งสองพร้อมกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ต่าง ๆ ที่จำเลยปลูกไว้ออกไปกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเสาไฟฟ้าในที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยขออนุญาตโจทก์ทั้งสองทำถนนผ่านเข้าที่ดินแปลงที่ซื้อขายและขนย้ายออกไปจากที่ดินดังกล่าว รวมทั้งต้องชดใช้ค่าที่ดินพิพาทในอัตราเดือนละ 5,000 บาทนับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2537 จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินดังกล่าว การที่จำเลยยังอยู่ในที่ดินพิพาทย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองและจำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อละเมิดแก่โจทก์ทั้งสองแต่อย่างใด ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ต่าง ๆ ที่จำเลยปลูกไว้ในที่ดินที่จำเลยเคยตกลงซื้อจากโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเสาไฟฟ้าในที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยขออนุญาตโจทก์ทั้งสองทำถนนผ่านเข้าที่ดินแปลงที่ซื้อขายกับขนย้ายออกจากที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองจำนวนเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันที่ 11 ธันวาคม 2541 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ต่าง ๆ ที่จำเลยและบริวารปลูกไว้ออกจากที่ดินดังกล่าวนั้น โดยมิได้ให้โจทก์ทั้งสองชำระหนี้ต่างตอบแทนอันเกิดจากการเลิกสัญญาและกลับคืนสู่ฐานะเดิมให้แก่จำเลยด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นเงาะ ต้นลองกอง และต้นไม้ต่าง ๆ ที่ปลูกไว้ในที่ดินที่จำเลยเคยตกลงซื้อจากโจทก์ทั้งสองตามคำฟ้องกับขนย้ายออกไปจากที่ดินนั้น และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกับเสาไฟฟ้าในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทางด้านทิศเหนือที่จำเลยขออนุญาตทำถนนผ่านเข้าที่ดินแปลงที่ซื้อขายกับขนย้ายออกไปจากที่ดินดังกล่าว รวมทั้งชดใช้ค่าใช้ที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2537 จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินนั้นไปต่อเมื่อโจทก์ทั้งสองได้คืนเงินมัดจำแก่จำเลยจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่เวลาที่โจทก์ทั้งสองได้รับเงินจำนวนดังกล่าวและคืนเช็คเลขที่ 3894251 ลงวันที่ 5 มกราคม 2543 ที่จำเลยสั่งจ่ายเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 3,500,000 บาท แก่จำเลยแล้ว ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
 
 
( ปริญญา ดีผดุง - สมชาย สินเกษม - สู่บุญ วุฒิวงศ์ )
 
ศาลจังหวัดตราด - นายสิริชัย จันทร์ดอก
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายโสภณ บางยี่ขัน
 

 คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก

จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาททุกคน เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปี

ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?

ผู้สืบสันดานก็คือ บุตรของผู้ตาย หรือบุตรของบุตรของผู้ตาย (ลูกของลูก) และถัดลงไปเรื่อย ๆ จนไม่ขาดสาย ดังนั้นคำว่าผู้สืบสันดานต่างชั้นกันคือ ชั้นบุตร กับชั้นบุตรของบุตร ซึ่งต่างก็เป็นผู้สืบสันดานด้วยกันทั้งนั้น แต่กฎหมายกำหนดลำดับชั้นไว้ให้ชั้นผู้สืบสันดานชั้นสนิทที่สุดกับผู้ตายมีสิทธิรับมรดกก่อน  คำว่า "ทายาท" กับทายาทโดยธรรม มีความหมายเหมือนกัน แต่ทายาทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ทายาทโดยธรรม และทายาทตามพินัยกรรม 

 

      

 




สัญญาซื้อขายเช่าซื้อและขายฝาก

ผิดนัดให้สัญญาเลิกกันทันทีโดยมิจำต้องบอกกล่าวก่อน
สภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้ดำเนินการตามคำขอของโจทก์ได้
สัญญาจะซื้อจะขาย-แบ่งชำระราคาเป็น 2 งวด
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
สืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร
การซื้อขายอะไหล่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือฟ้องร้องได้หรือไม่?
สัญญาจะซื้อจะขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
เช่าซื้อรถยนต์แล้วนำไปขายดาวน์คนซื้อไม่ผ่อนต่อ
สัญญาเช่าซื้อที่ดินระบุชื่อบุตรเป็นผู้รับสิทธิเมื่อตาย
ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกตามบันทึกการหย่า
ผิดสัญญาจะซื้อขาย รับผิดชำระดอกเบี้ย
ซ่อมหลังคา ทาสีเพื่อสวยงามเป็นหน้าที่ของผู้เช่า
สัญญาขายฝาก | การวางทรัพย์
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ |รถยนต์ถูกลักไป | ใช้สิทธิไม่สุจริต
ข้อสัญญาเป็นสาระสำคัญ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สัญญาเช่าซื้อไม่ทำตามแบบเป็นโมฆะ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สัญญาเช่าซื้อกับสัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง
สิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหาย
ตกลงค่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน
ค่าขาดประโยชน์ที่ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ
ผู้ขายถึงแก่ความตายก่อนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
การฝากเงินกับธนาคารเป็นสัญญาฝากทรัพย์
พนักงานธนาคารฝากเงินผิดบัญชีเรียกคืนได้