ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ค่าขาดประโยชน์ที่ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont

ค่าขาดประโยชน์ที่ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ

ข้อตกลงว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อแล้ว 15 งวดไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 16 อ้างว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายถูกคนร้ายลักไป ข้อเท็จจริงฟังว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อก่อนที่รถยนต์ที่เช่าซื้อจะสูญหายแล้ว เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ได้ชำระค่างวดมาแล้ว 15 งวด และผู้เช่าซื้อยังมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนด้วย แต่ผู้เช่าซื้อไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจึงตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องรับผิดชอบในความเสียหายเป็นค่าขาดประโยชย์ในการได้ใช้รถยนต์ถึงวันที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย หลังจากนั้นจะเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้ ค่าเป็นเงิน 45,000 บาท

        คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4279/2551

          ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า “คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่” ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลขึ้นไป คือศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลและศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้น ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย เมื่อสำนักงานของโจทก์เป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลจังหวัดสระบุรีได้ ข้อตกลงที่ให้ฟ้องคดีที่ศาลแพ่งนั้น จึงขัดต่อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่อาจใช้บังคับได้

          สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีตามสัญญาเช่าซื้อไปก่อนที่รถยนต์ที่เช่าซื้อจะสูญหาย เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วนอกจากโจทก์จะได้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง แล้ว จำเลยที่ 1 ยังมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ด้วย จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์จึงตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องรับผิดในความเสียหายหากต่อมาการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 217 จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดตามที่สัญญาเช่าซื้อได้กำหนดไว้ และย่อมมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ เมื่อไม่ส่งคืนก็ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อ จนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แต่เนื่องจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย โจทก์จึงเรียกค่าขาดประโยชน์ได้จนถึงวันที่รถยนต์สูญหายไป หลังจากนั้นโจทก์จะเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้

          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 1,334,550 บาท กับชำระค่าเสียหาย 350,000 บาท และชำระค่าเสียหายภายหลังฟ้องวันละ 400 บาท จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน

          จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
          จำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 1,000,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จำนวน 252,000 บาท และค่าขาดประโยชน์วันละ 400 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแก่โจทก์ แต่ไม่เกิน 180 วัน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท

          จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อ 1,000,000 บาท และชำระค่าเสียหาย 54,000 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสอง 10,715 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          จำเลยทั้งสองฎีกา

          ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคล เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 80 - 7907 มหาสารคาม ไปจากโจทก์ในราคา 2,487,800 บาท ชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญา 200,000 บาท ค่าเช่าซื้อที่เหลือชำระเป็นงวดรายเดือนงวดละ 63,550 บาท รวม 36 งวด งวดแรกชำระวันที่ 15 ตุลาคม 2539 งวดต่อๆ ไปชำระทุกวันที่ 15 ของเดือนจนกว่าจะครบ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์รวม 15 งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 16 ประจำวันที่ 15 มกราคม 2541 เป็นต้นมา จนกระทั่งเมื่อประมาณต้นเดือนเมษายน 2541 จำเลยทั้งสองทราบว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อได้สูญหายไป

          คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายสุรพลฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่ โจทก์มีนายสุรพล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความยืนยันประกอบเอกสารว่า นางกรรัชต์ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 โจทก์มอบอำนาจให้พยานฟ้องคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจ ซึ่งตามสำเนาหนังสือรับรองได้ระบุว่า นางกรรัชต์เป็นกรรมการซึ่งลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญผูกพันโจทก์ได้ และตามหนังสือมอบอำนาจก็ระบุว่า โจทก์โดยนางกรรัชต์มอบอำนาจให้พยานมีอำนาจฟ้องคดีต่อจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า นางกรรัชต์มีอำนาจทำการแทนโจทก์และมอบอำนาจให้นายสุรพลฟ้องคดีนี้แทน โจทก์จึงมอบอำนาจให้นายสุรพลฟ้องคดีโดยชอบ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า นายชูศักดิ์พยานโจทก์เบิกความว่า พยานมีอำนาจทำการแทนโจทก์ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.10 แต่สำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.10 ขัดกับสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ตรงวันที่โจทก์จดทะเบียนและจำนวนหรือชื่อกรรมการ แสดงว่าสำเนาหนังสือรับรองทั้งสองฉบับมิได้คัดจากต้นฉบับ การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจึงไม่ถูกต้องนั้นเห็นว่า ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.10 มีนายชูศักดิ์และนางกรรัชต์เป็นกรรมการและระบุว่ากรรมการคนใดคนหนึ่งมีอำนาจทำการแทนโจทก์ได้นั้น นายทะเบียนออกให้เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2541 ส่วนสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ที่ระบุว่านางกรรัชต์มีอำนาจทำการแทนโจทก์นั้น นายทะเบียนออกให้เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2542 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2542 ซึ่งนางกรรัชต์มีอำนาทำการแทนโจทก์เพียงลำพังคนเดียว มิใช่นายชูศักดิ์หรือนางกรรัชต์คนใดคนหนึ่งมีอำนาจทำการแทนโจทก์ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งนายชูศักดิ์ก็ได้เบิกความอธิบายว่านายชูศักดิ์มีอำนาจทำการแทนโจทก์ถึงปี 2542 เท่านั้น และมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการของโจทก์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2542 ดังนั้น แม้จำนวนและชื่อกรรมการแตกต่างกันก็ไม่ถือว่าขัดกันหรือไม่ถูกต้อง ส่วนปีที่โจทก์จดทะเบียนตามสำเนาหนังสือรับรองทั้งสองฉบับแม้จะแตกต่างกัน แต่นายชูศักดิ์ได้เบิกความยืนยันว่า โจทก์จดทะเบียนเมื่อปี 2532 ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.10 ส่วนปี 2538 ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ไม่ถูกต้องอาจเกิดจากพิมพ์ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเห็นว่าน่าจะเป็นตามที่นายชูศักดิ์เบิกความ ทั้งตามสำเนาหนังสือรับรองทั้งสองฉบับแม้ปีที่โจทก์จดทะเบียนจะแตกต่างกัน แต่นางกรรัชต์ก็มีอำนาจทำการแทนโจทก์ตามสำเนาหนังสือรับรองทั้งสองฉบับดังกล่าว ข้อแตกต่างเกี่ยวกับปีที่โจทก์จดทะเบียนจึงไม่เป็นสาระสำคัญ ขณะฟ้องนางกรรัชต์จึงมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญมอบอำนาจให้นายสุรพลฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

          มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่สองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ศาลจังหวัดสระบุรีหรือไม่ เห็นว่า เขตอำนาจศาลว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้องนั้นย่อมเป็นไปตามสภาพแห่งคำฟ้องและชั้นของศาลว่าศาลนั้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และต้องปรากฏว่าคดีนั้นอยู่ในเขตศาลนั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้องและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตศาลด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันที่สำนักงานของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งมาตรา 4 (1) บัญญัติว่า “คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่” ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลขึ้นไปคือศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลและศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย เมื่อสำนังานของโจทก์เป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นโจทก์ฟ้องคดีที่ศาลแพ่งนั้น จึงขัดต่อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่อาจใช้บังคับได้ ฎีกาข้อนี้ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

          มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่สามว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท จำเลยทั้งสองฎีกาในทำนองเดียวกับที่ให้การไว้ มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบอย่างไร จึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

          มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่สี่ว่า สัญญาค้ำประกันมิได้ปิดอากรแสตมป์ ศาลจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 ให้การไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท และโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบสัญญาค้ำประกันดังกล่าวอีก ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องนอกประเด็นเป็นฎีกาที่ไม่ชอบจึงไม่รับวินิจฉัยให้

          มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่ห้าว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้เรื่องอายุความให้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาที่ไม่ชอบไม่รับวินิจฉัยให้เช่นเดียวกัน

          มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่หกว่า สัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์ผูกพันจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายชูศักดิ์เป็นพยานเบิกความว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อพยานเป็นกรรมการมีอำนาจทำการแทนโจทก์ได้ตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.10 จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า นายชูศักดิ์มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญในฐานะผู้ให้เช่าซื้อแทนโจทก์ได้สัญญาเช่าซื้อจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

          มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10 มีข้อตกลงว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 16 ประจำวันที่ 15 มกราคม 2541 ถึงต้นเดือนเมษายน 2541 หรือวันที่ 1 เมษายน 2541 ตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน ที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายถูกคนร้ายลักไป จำเลยที่ 1 จึงผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10 ไปก่อนที่รถยนต์ที่เช่าซื้อจะสูญหายแล้ว เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว นอกจากโจทก์จะได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 1 ยังมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ตามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง ด้วย จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์จึงตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหากต่อมาการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ตามมาตรา 217 จำเลยทั้งสองจึงต้องตามที่สัญญาเช่าซื้อได้กำหนดไว้ ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดราคารถยนต์ที่เช่าซื้อ 1,000,000 บาท นั้น สูงเกินไป เพราะรถยนต์ที่เช่าซื้อมีราคาเงินสดในขณะเช่าซื้อเพียง 1,800,000 บาท และจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วประมาณ 1,200,000 บาท ราคาเงินสดจึงเหลือเพียง 600,000 บาท นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบราคาเงินสดไว้ คงฎีกากล่าวอ้างมาลอยๆ และได้ความจากคำเบิกความของนายสุรพลผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อมีราคาเงินสด 2,000,000 บาทเศษ ทั้งเงินที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระไปแล้วก็เป็นเงินค่าเช่าซื้อซึ่งรวมดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนของโจทก์อยู่ด้วย มิใช่ราคาเงินสดที่แท้จริง จะนำทั้งจำนวนมาหักเพื่อคำนวณหาราคาเงินสดหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้ใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อ 1,000,000 บาทนั้น เห็นว่า เหมาะสมแล้ว ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าขาดประโยชน์ให้จำเลยทั้งสองรับผิดเดือนละ 18,000 บาท นั้น เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ถึงสภาพรถและค่าเช่าซื้อตามสัญญาแล้ว ค่าขาดประโยชน์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดมาเดือนละ 18,000 บาท นั้น เหมาะสมแล้ว ส่วนระยะเวลาที่กำหนดให้ 3 เดือน นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 16 สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันทันที จำเลยทั้งสองย่อมมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ เมื่อไม่ส่งคืนก็ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 10 โดยชดใช้ค่าขาดประโยชน์จนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แต่เนื่องจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2541 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อแทน โจทก์จึงเรียกค่าขาดประโยชน์ได้จนถึงวันที่รถยนต์สูญหายไป หลังจากนั้นโจทก์จะเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้ โจทก์ขาดประโยชน์เป็นเวลา 2 เดือนครึ่ง ตามที่จำเลยทั้งสองฎีกามิใช่ 3 เดือน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้ชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเวลา 3 เดือน จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดเกินกว่าที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามคำฟ้องและกฎหมาย จึงกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์เพียง 2 เดือนครึ่ง เป็นเงิน 45,000 บาท ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน สำหรับฎีกาของจำเลยทั้งสองข้ออื่นๆ นั้น ล้วนเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นและไม่เป็นสาระแก่คดีจึงไม่วินิจฉัยให้”

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 45,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

( มานัส เหลืองประเสริฐ - ชวลิต ตุลยสิงห์ - วีระชาติ เอี่ยมประไพ )

 
มาตรา 574    ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันหรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญเจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

อนึ่ง ในกรณีกระทำผิดสัญญาเพราะผิดนัดไม่ใช้เงินซึ่งเป็นคราวที่สุดนั้นท่านว่าเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนและกลับเข้าครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อระยะเวลาใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกงวดหนึ่ง

 คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก

จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาททุกคน เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปี

ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?

ผู้สืบสันดานก็คือ บุตรของผู้ตาย หรือบุตรของบุตรของผู้ตาย (ลูกของลูก) และถัดลงไปเรื่อย ๆ จนไม่ขาดสาย ดังนั้นคำว่าผู้สืบสันดานต่างชั้นกันคือ ชั้นบุตร กับชั้นบุตรของบุตร ซึ่งต่างก็เป็นผู้สืบสันดานด้วยกันทั้งนั้น แต่กฎหมายกำหนดลำดับชั้นไว้ให้ชั้นผู้สืบสันดานชั้นสนิทที่สุดกับผู้ตายมีสิทธิรับมรดกก่อน  คำว่า "ทายาท" กับทายาทโดยธรรม มีความหมายเหมือนกัน แต่ทายาทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ทายาทโดยธรรม และทายาทตามพินัยกรรม

 

        




สัญญาซื้อขายเช่าซื้อและขายฝาก

ผิดนัดให้สัญญาเลิกกันทันทีโดยมิจำต้องบอกกล่าวก่อน
สภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้ดำเนินการตามคำขอของโจทก์ได้
สัญญาจะซื้อจะขาย-แบ่งชำระราคาเป็น 2 งวด
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
สืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร
การซื้อขายอะไหล่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือฟ้องร้องได้หรือไม่?
สัญญาจะซื้อจะขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
เช่าซื้อรถยนต์แล้วนำไปขายดาวน์คนซื้อไม่ผ่อนต่อ
สัญญาเช่าซื้อที่ดินระบุชื่อบุตรเป็นผู้รับสิทธิเมื่อตาย
ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกตามบันทึกการหย่า
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย
ผิดสัญญาจะซื้อขาย รับผิดชำระดอกเบี้ย
ซ่อมหลังคา ทาสีเพื่อสวยงามเป็นหน้าที่ของผู้เช่า
สัญญาขายฝาก | การวางทรัพย์
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ |รถยนต์ถูกลักไป | ใช้สิทธิไม่สุจริต
ข้อสัญญาเป็นสาระสำคัญ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สัญญาเช่าซื้อไม่ทำตามแบบเป็นโมฆะ (สัญญาเช่าซื้อรถยนต์)
สัญญาเช่าซื้อกับสัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง
สิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหาย
ตกลงค่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน
ผู้ขายถึงแก่ความตายก่อนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
การฝากเงินกับธนาคารเป็นสัญญาฝากทรัพย์
พนักงานธนาคารฝากเงินผิดบัญชีเรียกคืนได้