ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




เพิกถอนนิติกรรมขายฝาก

ทนายความบริษัทสำนักงานพีศิริ ทนายความ จำกัด  

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร.  085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ)

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail:  leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3)  peesirilaw  หรือ (4) @peesirilaw   (5)   @leenont1

 

สามี-ภริยา จดทะเบียนหย่ากันแล้ว ต่อมาสามีฟ้องอดีตภริยาอ้างว่า ขณะที่เป็นสามีภริยากันนั้น ทางอดีตภริยาขายฝากที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสให้กับผู้ซื้อ (จำเลยที่ 2 ในคดีนี้) โดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจ (ไม่ได้รับความยินยอมจากสามี) ขอให้ศาลเพิกถอนนิตกรรมขายฝากที่ดิน   ส่วนผู้ซื้อให้การต่อสู้ว่าซื้อที่ดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน และคดีนี้มาฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้มูลเหตุแล้ว  ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จากข้อเท็จจริงได้ความว่า อดีตภริยานำที่ดินที่เป็นสินสมรสไปขายฝากโดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจ ผู้ซื้อฝากได้รับซื้อฝากโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนย่อมเพิกถอนนิติกรรมขาย ฝากไม่ได้


คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7680/2551

          การเพิกถอนนิติกรรมตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ต้องเพิกถอนทั้งหมด โดยมีผลเป็นว่าทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นถ้าเพิกถอนได้ก็ย่อมกลับ คืนมาเป็นสินสมรสทั้งหมด มิใช่เพิกถอนแต่เฉพาะส่วนของคู่สมรสที่ไม่ให้ความยินยอม ดังนั้น ในทางกลับกันถ้าเพิกถอนไม่ได้เพราะบุคคลภายนอกดังกล่าวทำการโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน ก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้ทั้งหมด

          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เคยเป็นสามีภริยากัน แต่ปัจจุบันจดทะเบียนหย่าแล้ว ในระหว่างเป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 16480 ซึ่งเป็นสินสมรสไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 250,000 บาท และต่อมาได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ซึ่งเป็นสินสมรสไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 560,000 บาท โดยโจทก์มิได้ยินยอม เนื่องจากจำเลยที่ 1 ปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์และจำเลยที่ 2 กระทำโดยไม่สุจริต โจทก์เพิ่งทราบการทำนิติกรรมการขายฝากที่ดินทั้งสองแปลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 16480 ตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2
          จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

          จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยจำเลยที่ 1 มีหนังสือมอบอำนาจลงลายมือชื่อของโจทก์ให้ขายฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมา แสดง จำเลยที่ 2 จึงรับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้มูลเหตุให้เพิกถอน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง


          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน แต่ให้ศาลชั้นต้นคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นส่วนที่เรียกเกินจำนวน 20,050 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติดังที่โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงรับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 เอกสารในสำนวนสารบัญอันอับที่ 102 ว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินอันเป็นสินสมรสเลขที่ 16480 ตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 โดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลง โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ตามสำเนาโฉนดที่ดินแปลงพิพาทเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4


          คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงหรือ ไม่ เห็นว่า แม้การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมขายฝากกับจำเลยที่ 2 โดยใช้เอกสารที่มีลายมือชื่อปลอมของโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยอมรับว่าขณะทำนิติกรรมดังกล่าว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่พิพาททั้งสองแปลง จึงถูกต้องชอบแล้ว ที่โจทก์อ้างเป็นข้อฎีกาว่าฟ้องโจทก์รวมถึงการขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝาก เฉพาะส่วนของโจทก์ในสินสมรสดังกล่าว ซึ่งแยกต่างหากจากส่วนของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ในการเพิกถอนนิติกรรมสำคัญใด ๆ ที่บุคคลภายนอกทำการโดยไม่สุจริตหรือไม่ได้เสียค่าตอบแทนตามนัยที่ประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้นั้นเป็นเรื่องของนิติกรรมโดยตรง การเพิกถอนนั้นจึงต้องเพิกถอนทั้งหมด โดยมีผลเป็นว่าทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้น ถ้าเพิกถอนได้ ก็ย่อมกลับคืนมาเป็นสินสมรสทั้งหมด มิใช่เพิกถอนแต่เฉพาะส่วนของคู่สมรสที่ไม่ให้ความยินยอม ดังนั้น ในทางกลับกันถ้าเพิกถอนไม่ได้เพราะบุคคลภายนอกดังกล่าวทำการโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทนเยี่ยงจำเลยที่ 2 นี้ ก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้ทั้งหมด”

          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( พินิจ สายสอาด - เกษม วีรวงศ์ - กีรติ กาญจนรินทร์ )

 




ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

การขอเป็นผู้จัดการสินสมรสฝ่ายเดียว
เงินบำนาญเป็นสินสมรสนำมาซื้อที่ดินระหว่างสมรส
จดทะเบียนสมรสโดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นสามีภริยากัน
ซื้อทรัพย์โดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นสินสมรส
สิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าผิดสัญญาต้องฟ้องคดี
ที่ดินที่รัฐจัดสรรให้ราษฎรตาม พ.ร.บ.จัดที่ดิน
บันทึกข้อตกเรื่องทรัพย์สินหลังทะเบียนหย่า
สัญญาแบ่งทรัพย์สินในการหย่าขาด-ให้ที่ดิน
บันทึกหย่าเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก
ขอเป็นผู้จัดการสินสมรสฝ่ายเดียวเพื่อแยกสินสมรส
เพิกถอนนิติกรรมโฉนดห้ามโอน 10 ปี | ปรึกษากฎหมาย 085 960 4258