
ซื้อทรัพย์โดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นสินสมรส
-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร. 085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ) -ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail: leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3) peesirilaw หรือ (4) @peesirilaw (5) @leenont1 ซื้อทรัพย์โดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นสินสมรส สามีภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกัน คู่สมรสที่ทำนิติกรรมขายที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมได้ภายใน 1 ปี แต่มีข้อยกเว้นว่าบุคคบภายนอกที่ทำนิติกรรมด้วยความสุจริตและเสียค่าตอบแทน กฎหมายให้สันนิษฐานว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ดังนั้นการฟ้องคดีเพิกถอนนิติกรรมจึงเป็นหน้าที่ของผู้ฟ้องจะต้องพิสูจน์ว่าบุคคลภายนอกไม่สุจริตอย่างไรไม่ใช่หน้าที่ของผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้พิสุจน์ จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์จดทะเบียนสมรสกับนางสาว พ. จำเลยซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสินสมรสของโจทก์และนาง พ. จากนาง พ. โดยเข้าใจว่านาง พ. เป็นหม้ายเนื่องจากโจทก์ไปมีภริยาใหม่และได้ทิ้งร้างนาง พ. จำเลยทำนิติกรรมกับนาง พ. โดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยกับนาง พ. ซึ่งถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของนางพิมพ์จำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โจทก์ฎีกา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า มีเหตุเพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างนางพิมพ์กับจำเลยหรือไม่ โจทก์อ้างว่านางพิมพ์ขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมให้แก่จำเลยโดยโจทก์มิได้ยินยอมและมิได้ให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 จึงต้องพิจารณาตามความในวรรคหนึ่งว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นจำเลยได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 บัญญัติว่า “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต” โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว โจทก์นำสืบว่า โจทก์จดทะเบียนสมรสกับนางพิมพ์ อยู่กินด้วยกันตลอดไม่เคยทิ้งร้าง ที่ดินพิพาทมีราคา 5,000,000 บาท จำเลยนำสืบว่า ประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาจำเลยไม่เคยเห็นโจทก์อยู่กับนางพิมพ์ นางพิมพ์บอกจำเลยว่าโจทก์มีภริยาใหม่ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดนครนายก ชาวบ้านในละแวกดังกล่าวก็ทราบว่าโจทก์ไปมีภริยาใหม่ ในข้อที่จำเลยนำสืบนี้ ปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.3 ว่าโจทก์ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่จังหวัดนครนายก สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลย ส่วนที่โจทก์อ้างว่าไปทำงานที่จังหวัดปราจีนบุรีคงมีแต่คำเบิกความของโจทก์กับนางอำไพบุตรโจทก์เท่านั้น นอกจากนี้โจทก์ยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า บุคคลทั่วไปรวมทั้งญาติเข้าใจว่าโจทก์ทิ้งร้างนางพิมพ์เจือสมกับคำเบิกความของจำเลย แม้โจทก์จะจดทะเบียนสมรสกับนางพิมพ์ก็ตาม แต่โจทก์มิได้นำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยทราบเรื่องดังกล่าว ส่วนที่โจทก์อ้างว่า ที่ดินพิพาทมีราคา 5,000,000 บาท นั้น คงมีแต่เพียงโจทก์และนางอำไพบุตรโจทก์เบิกความลอยๆ ว่าที่ดินพิพาทมีราคาประมาณ 5,000,000 บาท แม้จำเลยเบิกความว่า ที่ดินใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทจะขายในราคา 1,000,000 บาท ต่อ 18 ตารางวา ก็มิได้หมายความว่าที่ดินพิพาทจะมีราคาถึง 5,000,000 บาท ดังที่โจทก์อ้าง เพราะที่ดินที่อยู่ใกล้เคียงกันหาใช่ว่าจะขายได้ในราคาเดียวกันเสมอไปไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนจึงยังฟังไม่ได้ว่า ที่ดินพิพาทมีราคา 5,000,000 บาท ตามที่อ้าง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเบิกความว่า ที่ดินพิพาทมีราคาประเมินประมาณ 2,000,000 บาท ราคาที่ดินพิพาทที่จำเลยซื้อจากนางพิมพ์จึงเป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น เห็นว่า แม้ที่ดินพิพาทจะมีราคาประเมิน 2,000,000 บาท ดังที่จำเลยเบิกความก็ตาม แต่การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางพิมพ์กับจำเลยเป็นการซื้อขายที่ดินในฐานะที่จำเลยเป็นหลานของนางพิมพ์และได้ให้ความช่วยเหลือดูแลนางพิมพ์ซึ่งอยู่ในวัยชรา การที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทในราคา 1,000,000 บาท จึงหาใช่เป็นเรื่องผิดปกติและยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่ พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์จดทะเบียนสมรสกับนางพิมพ์ จำเลยซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยเข้าใจว่านางพิมพ์เป็นหม้ายเนื่องจากโจทก์ไปมีภริยาใหม่และได้ทิ้งร้างนางพิมพ์ พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับนางพิมพ์โดยสุจริต ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
|