ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความ (นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ) โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont

ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

พรบ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินซึ่งมีโทษทางอาญาและมาตรการทางแพ่งที่ให้อำนาจศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานตกเป็นของแผ่นดิน โดยไม่จำต้องคำนึงว่าทรัพย์สินนั้นผู้เป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนทรัพย์สินจะได้มาก่อนพรบ. ใช้บังคับหรือไม่ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวไม่ใช่โทษทางอาญา จึงใช้บังคับย้อนหลังได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6999/2562

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการตาม ป.อ. มาตรา 157 เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยทุจริต ก็เป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (5)

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สิน 6 รายการ ราคาประมาณ 18,386,244.73 บาท คือ 1. เงินสด 8,599,000 บาท 2. เงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 037-2-02xxx-x ชื่อผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 2,127,869.92 บาท 3. เงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 347-2-08xxx-x ชื่อผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 1,931,892.60 บาท 4. เงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 037-2-03xxx-x ชื่อผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 1,842,417.76 บาท 5. เงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคารออมสิน เลขที่ 01-0121-60-008xxx-x ชื่อผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 1,053,606.36 บาท และ 6. เงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคารออมสิน เลขที่ 01-0121-60-007xxx-x ชื่อผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 2,831,458.09 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว

ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ให้เงินสด จำนวน 8,599,000 บาท พร้อมดอกผล เงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 347-2-08xxx-x จำนวน 1,931,892.60 บาท พร้อมดอกผล เงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 037-2-03xxx-x จำนวน 1,842,417.76 บาท พร้อมดอกผล เงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคารออมสิน เลขที่ 01-0121-60-008xxx-x จำนวน 1,053,606.36 บาท พร้อมดอกผล เงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคารออมสิน เลขที่ 01-0121-60-007xxx-x จำนวน 2,831,458.09 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน และเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 037-2-02xxx-x ที่ฝากเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2542 จำนวน 300,000 บาท เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2544 จำนวน 300,000 บาท และเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2547 จำนวน 600,000 บาท พร้อมดอกผล ตามข้อตกลงในการฝากเงินในบัญชีเงินฝากดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ส่วนที่เหลือจากบัญชีนี้ให้คืนแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นฎีกาว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้คัดค้านที่ 1 ในขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเจ้าท่า กับพวก ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจการจ้างและคณะกรรมการส่วนผู้ควบคุมงานต่อสร้างเรือ รวม 7 คน ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลอาญาในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 84/2547 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 274/2547 คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 8560-8561/2558 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558 ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกรวม 7 คน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 2 ปี สำนักงาน ป.ป.ช. รายงานให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 กับพวก พบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 จึงยึดและหรืออายัดไว้ ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกชี้แจงแสดงหลักฐานต่อคณะกรรมการธุรกรรม และคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้วมีมติให้ยึดทรัพย์สินบางส่วนรวม 7 รายการ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้แจ้งต่อพนักงานอัยการเพื่อให้ร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน พนักงานอัยการพิจารณาแล้วขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สิน 6 รายการ ราคารวม 18,386,244.73 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ผู้คัดค้านทั้งสองอยู่กินฉันสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรสาว 2 คน เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2544 นางอุบล มารดาของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 1 กับนางมาลินี เป็นผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2544

คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองประการแรกว่า ศาลอุทธรณ์นำพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาใช้บังคับย้อนหลังกับคดีนี้เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินซึ่งมีโทษทางอาญาและมาตรการทางแพ่งที่ให้อำนาจศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานตกเป็นของแผ่นดิน โดยไม่จำต้องคำนึงว่าทรัพย์สินนั้นผู้เป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนทรัพย์สินจะได้มาก่อนพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับหรือไม่ หากพิจารณาได้ความว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ทรัพย์สินตามคำร้องตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวไม่ใช่โทษทางอาญา จึงใช้บังคับย้อนหลังได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองประการต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองที่ว่า การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เป็นการกระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จึงไม่เป็นความผิดมูลฐานนั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (5) บัญญัติว่า "ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น" เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8560-8561/2558 ว่า การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าว เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (5) แม้ศาลฎีกาในคดีดังกล่าวจะไม่ได้วินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นการกระทำโดยทุจริต ก็ไม่ทำให้การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงินได้ ส่วนปัญหาว่า ผู้คัดค้านที่ 1 จะได้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สินจากการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ อันจะถือเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือไม่นั้น เป็นปัญหาที่ศาลจะได้วินิจฉัยในคดีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8560-8561/2558 วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะอธิบดีกรมเจ้าท่าได้แก้ไขสัญญาในงวดที่ 5 โดยฝ่าฝืนต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ข้อ 136 และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทผู้ขาย ดังนี้ แม้ศาลฎีกาจะไม่ได้วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่การเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทผู้ขาย อาจเป็นกรณีมีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดมาจากการกระทำดังกล่าว ซึ่งเมื่อการกระทำความผิดของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นความผิดมูลฐาน คณะกรรมการธุรกรรมย่อมมีอำนาจตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือไม่ ตามมาตรา 34 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อเห็นว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินย่อมมีอำนาจร้องขอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินได้ตามมาตรา 49 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองในประเด็นนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา

 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ม. 3 (5)

แหล่งที่มา

 กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

 

ยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา, แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว

 

แม้จะไม่ปรากฏว่าสามีพาจำเลยที่ 2 (เมียน้อย)ออกงานสังคมหรือแนะนำให้บุคคลอื่นรู้จักจำเลยที่ 2 ในฐานะภริยาก็ตามแต่พฤติการณ์ของสามีที่อยู่ในบ้านเดียวกับเมียน้อยในเวลากลางคืนและอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดซึ่งบ้านดังกล่าวอยู่ในแหล่งชุมนุมชนถือเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าสามียกย่องเมียน้อยฉันภริยาแล้ว




กฎหมายทั่วไป

ระเบียบ ก.การคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน
ข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอด-ยึดรถจักรยานย์
สำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย
โจทก์เป็นทายาทคนหนึ่งย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดก
คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2550
สถานที่ตั้งสำนักงานทนายความ