
คดีล้มละลายเป็นส่วนหนึ่งของคดีแพ่ง
-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร. 085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ) -ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail: leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3) peesirilaw หรือ (4) @peesirilaw (5) @leenont1 คดีล้มละลายเป็นส่วนหนึ่งของคดีแพ่ง ตามหนังสือมอบอำนาจระบุว่าเป็นโจทก์และดำเนินคดียื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่ง โดยไม่มีข้อความว่ามอบอำนาจให้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา กรณีนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายนั้น เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง โดยโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งสามัญมาแล้ว สำหรับคดีล้มละลายก็เป็นส่วนหนึ่งของคดีแพ่ง แม้โจทก์จะมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่ามอบอำนาจให้ฟ้องคดีล้มละลายก็น่าจะหมายถึงให้ฟ้องคดีล้มละลายได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3653/2542 หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ระบุมอบอำนาจให้ ป. เป็นโจทก์และดำเนินคดียื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่ง แต่ปรากฏว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายนั้น เป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง โดยโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งสามัญมาแล้ว โจทก์ไม่มีความจำเป็นต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งสามัญอีก คดีล้มละลายถือเป็นส่วนหนึ่งของคดีแพ่งแม้โจทก์จะมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่ามอบอำนาจให้ฟ้องคดีล้มละลายก็น่าจะหมายถึงให้ฟ้องคดีล้มละลายได้ และการยื่นฟ้องขอให้ล้มละลาย ต้องยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 โจทก์จึงมีอำนาจยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ได้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย จำเลยให้การว่า ตามหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี โจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายประเสริฐ โลหภาษัย เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีกับจำเลยต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา คำฟ้องจึงไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งไม่มีผลผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา พิพากษายืน ( ไพโรจน์ คำอ่อน - สมชัย สายเชื้อ - พิชัย เตโชพิทยากูล ) หมายเหตุ ในการมอบอำนาจให้ฟ้องร้องดำเนินคดีนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างผู้มอบอำนาจกับผู้รับมอบอำนาจถือว่าเป็นสัญญาตัวแทน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3102/2534) เมื่อมีปัญหาจะต้องพิจารณาว่าผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์หรือไม่จะต้องพิจารณาถึงข้อความในหนังสือมอบอำนาจทั้งฉบับ บางครั้งหนังสือมอบอำนาจอาจจะมีข้อความผิดพลาดไปบ้าง เช่น ระบุชื่อศาลที่จะให้ฟ้องเป็นศาลอื่น สะกดชื่อสกุลจำเลยผิดไป ศาลก็ต้องพิจารณาถึงเจตนาแท้จริง (TrueIntention)ของผู้รับมอบอำนาจและผู้มอบอำนาจ หากว่าเมื่อตรวจหนังสือมอบอำนาจทั้งฉบับแล้วเห็นถึงเจตนาของผู้มอบอำนาจว่ามอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้แล้วถือว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องดังเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ ก่อนหน้าที่นี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2705/2536 วินิจฉัยว่า โจทก์มอบอำนาจให้ พ. ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งโดยระบุในหนังสือมอบอำนาจผิดพลาดไปว่าให้ฟ้องต่อศาลแพ่งธนบุรีการระบุชื่อศาลที่จะฟ้องร้องผิดพลาดเป็นข้อบกพร่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจแต่ต่อมาก่อนส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย โจทก์ได้ยื่นใบมอบอำนาจใหม่ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่ง ถือได้ว่าโจทก์ได้แก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง กรณีมีเหตุสงสัยว่าคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับขัดกันหรือไม่ ผู้บันทึกเห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับนี้มิได้ขัดกันแต่อย่างใดเพียงแต่ว่าในการวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองเรื่องได้อาศัยเหตุแห่งคดีและหลักกฎหมายต่างกัน ตามรายละเอียดของประเด็นแห่งคดีในแต่ละคดีที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา โดยในคำพิพากษาศาลฎีกาที่บันทึกนี้ได้วินิจฉัยโดยตีความการแสดงเจตนาตามหนังสือมอบอำนาจ โดยอาศัยหลักกฎหมายเรื่องการตีความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้แก่คดี ส่วนในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2705/2536 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหลังจากมีการยื่นฟ้องแล้วมีการยื่นหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่เข้ามาซึ่งเป็นการแก้ไขอำนาจฟ้องให้บริบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวนั้นจึงได้วินิจฉัยอำนาจฟ้องของโจทก์โดยอาศัยตามหลักกฎหมายวิธีสบัญญัติเช่นนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับจึงน่าจะใช้เป็นบรรทัดฐานต่อไป เอื้อนขุนแก้ว มาตรา 55 เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 150 การยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลายให้ยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขต ไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอหรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น |