
บุคคลต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้
-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร. 085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ) -ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail: leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3) peesirilaw หรือ (4) @peesirilaw (5) @leenont1 บุคคลต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้ บุคคลต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้(1) ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ(2) บุคคลวิกลจริต หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ(3) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย -กฎหมายกำหนดให้ผู้จัดการมรดกจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง? บุคคลที่ศาลจะตั้งเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718 แล้ว ยังต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมอื่นๆ ประกอบด้วย การที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้ตายโดยเป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืม ตามหนังสือรับรองว่าเป็นหนี้และสัญญากู้เงิน ซึ่งการที่ผู้จัดการมรดกเป็นเจ้าหนี้กองมรดกอยู่เป็นจำนวนมากจึงอยู่สองสถานะ คือเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ การจัดการมรดกอาจมีผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนได้เสียของทายาทอื่นโดยตรง จากพฤติการณ์แวดล้อมทำให้เชื่อว่าถ้าผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกจะมีอุปสรรคและมีข้อโต้แย้งกับเครือญาติ ผู้ร้องจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6166 - 6167/2552 มาตรา 1718 บุคคลต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้ บุคคลที่ศาลจะตั้งเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718 แล้ว ยังต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมอื่นๆ ประกอบด้วยที่ผู้ร้องเบิกความว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้ตายจำนวน 8,000,000 บาท โดยเป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืม ตามหนังสือรับรองว่าเป็นหนี้และสัญญากู้เงิน ซึ่งการที่ผู้จัดการมรดกเป็นเจ้าหนี้กองมรดกอยู่เป็นจำนวนมากจึงอยู่สองสถานะ คือเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ การจัดการมรดกอาจมีผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนได้เสียของทายาทอื่นโดยตรงทั้งก่อนผู้ตายจะถึงแก่กรรมประมาณ 10 วัน ผู้ตายได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานว่าโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.8 ถึง ร.12 หายไป แต่กลับปรากฏว่าโฉนดที่ดินทั้ง 5 ฉบับ อยู่ที่ผู้ร้อง โดยผู้ร้องเบิกความอ้างว่าผู้ตายมอบให้ผู้ร้องเพื่อเป็นหลักประกันในการชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งถ้าผู้ตายมอบให้จริงก็ไม่น่าหลงลืมจนไปแจ้งความ นอกจากนี้ผู้ร้องยังเป็นผู้มีอารมณ์รุนแรง มีสาเหตุกับบุตรและหลานของตนเองจนกระทั่งผู้คัดค้านที่ 1 และ ส. ซึ่งเป็นหลานไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน จากพฤติการณ์ดังกล่าวทำให้เชื่อว่าถ้าผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกจะมีอุปสรรคและมีข้อโต้แย้งกับเครือญาติ ผู้ร้องจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางล่ำ ผู้ตายซึ่งถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ตั้งบุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกไว้ การจัดการมรดกมีเหตุขัดข้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านในสำนวนแรกและยื่นคำร้องขอในสำนวนหลังว่าผู้ตายถึงแก่กรรมโดยทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองไว้ ณ สำนักงานเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร โดยพินัยกรรมระบุให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกผู้ร้องมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เพราะปกปิดและเบียดบังทรัพย์มรดก จึงขอให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้อง และตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบุตรของผู้ตายและเป็นพี่สาวของผู้ร้อง ผู้ตายทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์มรดกบางส่วนให้ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นหลานของผู้ตาย รวมทั้งยกให้บุคคลอื่นอีก ผู้ร้องมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องและมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกหรือเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องในส่วนของทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมของผู้ตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมและมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกในส่วนของทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมกับให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์ ผู้ร้องอุทธรณ์ ผู้ร้องฎีกา ปัญหาต่อไปมีว่า ผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมและทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรม ในปัญหาข้อนี้ผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายทั้งหมด ผู้คัดค้านที่ 1 ขอเป็นผู้จัดการมรดกเกี่ยวกับทรัพย์ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมเท่านั้น ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ขอเป็นผู้จัดการมรดกเฉพาะทรัพย์นอกพินัยกรรม เห็นว่า บุคคลที่ศาลจะตั้งเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 แล้ว ยังต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมอื่นๆ ประกอบด้วยสำหรับผู้ร้องเบิกความว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้ตายจำนวน 8,000,000 บาท โดยเป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมตามหนังสือรับว่าเป็นหนี้และสัญญากู้เงินซึ่งการที่ผู้จัดการมรดกเป็นเจ้าหนี้กองมรดกอยู่เป็นจำนวนมากจึงอยู่สองสถานะ คือเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้การจัดการมรดกอาจมีผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนได้เสียของพยานอื่นโดยตรงโดยเฉพาะผู้ร้องเบิกความตอบคำถามค้านผู้คัดค้านที่ 1 ว่า “...เนื่องจากข้าพเจ้าได้เข้าไปคุยกับผู้ตายและได้ถามถึงจำนวนเงินที่ข้าพเจ้าได้ส่งให้ตั้งแต่อยู่ประเทศซาอุดีอาระเบียและประเทศสหรัฐอเมริกาและรวมกำไรจากการขายที่ดินแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นจำนวนมาก จึงขอให้ผู้ตายทำหลักฐานเป็นหนังสือให้จึงได้เขียนหนังสือรับว่าเป็นหนี้โดยข้าพเจ้ากรอกให้ผู้ตายลงชื่อ ต่อมาข้าพเจ้าได้ให้ผู้ตายทำสัญญากู้ไว้ให้ข้าพเจ้าตามหนังสือรับว่าเป็นหนี้และสัญญากู้เงิน” แสดงว่าหนี้ดังกล่าวมิใช่หนี้เงินกู้โดยตรง อาจถูกพยานอื่นโต้แย้งได้ ทั้งก่อนผู้ตายจะถึงแก่กรรมประมาณ 10 วัน ผู้ตายได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานว่าโฉนดที่ดินหายไปแต่กลับปรากฏว่าโฉนดที่ดินทั้ง 5 ฉบับอยู่ที่ผู้ร้อง โดยผู้ร้องเบิกความอ้างว่า ผู้ตายมอบให้ผู้ร้องเพื่อเป็นหลักประกันในการชำระหนี้เงินกู้ข้างต้น ซึ่งถ้าผู้ตายมอบให้จริงก็ไม่น่าหลงลืมจนไปแจ้งความ นอกจากนี้ผู้ร้องยังเป็นผู้มีอารมณ์รุนแรง มีสาเหตุกับบุตรและหลานของตนเองจนกระทั่งผู้คัดค้านที่ 1 และนายสุชิน ซึ่งเป็นหลานไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานจากพฤติการณ์ดังกล่าวมาทำให้เชื่อว่า ถ้าผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกจะมีอุปสรรคและมีข้อโต้แย้งกับเครือญาติ ผู้ร้องจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 นอกจากไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามกฎหมายแล้วทายาทตามพินัยกรรมต่างเต็มใจให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีวุฒิภาวะ ทั้งมีข้อกำหนดในพินัยกรรมให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านที่ 1 จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม สำหรับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นพี่สาวของผู้ร้อง ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย ได้รับการยอมรับจากทายาทอื่นๆ และมีความประสงค์จัดการทรัพย์เฉพาะนอกพินัยกรรมเท่านั้นเชื่อว่าการจัดการทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมจะดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกตามขอนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องไม่ทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่วินิจฉัยให้”
ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน สิทธิเรียกร้องมรดกของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่? ที่จำเลยได้รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นมรดกก็เนื่องจากทายาททุกคนตกลงมอบหมายให้จำเลยเป็นผู้นำไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งแก่ทายาท จำเลยจึงครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้จำเลยขายที่ดินมรดกนี้ไปก็ถือว่า จำเลยยังครอบครองเงินที่ขายแทนทายาททุกคนเพื่อการแบ่งปันกัน อายุความตัดสิทธิในระหว่างทายาทด้วยกันยังไม่เริ่มนับ เพราะการแบ่งปันทรัพย์มรดกนี้ ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปีจากทายาทผู้ครอบครอง ปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่?? โจทก์ผู้เป็นทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกเสียภายในกำหนด 1 ปี จากจำเลยที่ 1 ผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวในทรัพย์มรดกของผู้ตาย ทรัพย์ในส่วนมรดกนั้นย่อมตกเป็นของจำเลยที่ 1ทายาทผู้ครอบครอง เมื่อจำเลยที่ 1 ขายทรัพย์ซึ่งรวมส่วนมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 ย่อมใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นทายาทยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้เป็นทายาทอื่นได้ด้วย
|