ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




การโอนอันมีค่าตอบแทนและรับโอนโดยสุจริต

ทนายความบริษัทสำนักงานพีศิริ ทนายความ จำกัด  

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร.  085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ)

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail:  leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3)  peesirilaw  หรือ (4) @peesirilaw   (5)   @leenont1

การโอนอันมีค่าตอบแทนและรับโอนโดยสุจริต

การกระทำอย่างไรที่จะถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน? การที่ผู้จัดการมรดกนำทรัพย์มรดกไปขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่กองมรดกโดยที่ทายาทโดยธรรมอื่นไม่ยินยอมสามารถทำได้หรือไม่?? การโอนอันมีค่าตอบแทนและรับโอนโดยสุจริตนั้น อย่างไรเรียกว่าสุจริต อย่างไรเรียกว่ามีค่าตอบแทน

อำนาจของผู้จัดการมรดกในการขายที่ดินทรัพย์มรดกเพื่อใช้หนี้กองมรดก ผู้ซื้ออยู่ในฐานะที่จะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแม้ยังไม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อขาย การทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินให้โดยไม่มีค่าตอบแทนอันเป็นทางเสียเปรียบแก่ผู้ซื้อและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้ผู้ซื้อที่ดินได้รับความเสียหายขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  198/2552

 
จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ข. ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทของ ข. ให้ ท. เพื่อนำเงินที่ขายได้ไปชำระหนี้กองมรดกของ ข. อันเป็นอำนาจของผู้จัดการมรดก ที่กระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1724 ทายาทรวมทั้งจำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันต่อ ท. ในการที่จำเลยที่ 1 กระทำไปดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 กลับไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทนและรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทให้ ท. ไปก่อนและได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้ว ทั้งยังได้ไปดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ท. และอยู่ในระหว่างการดำเนินการของเจ้าพนักงานที่ดิน ท. จึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 จึงเป็นทางเสียเปรียบแก่ ท. โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของ ท. จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทได้ตามมาตรา 1300 ประกอบ มาตรา 1599 และมาตรา 1600

มาตรา 1300  ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้

มาตรา 1599  เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท
ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น
 
มาตรา 1724  ทายาทย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันผู้จัดการมรดกได้ทำไปภายในขอบอำนาจในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก
ถ้าผู้จัดการมรดกเข้าทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอก โดยเห็นแก่ทรัพย์สินอย่างใดๆ หรือประโยชน์อย่างอื่นใด อันบุคคลภายนอกได้ให้ หรือได้ให้คำมั่นว่าจะให้เป็นลาภส่วนตัวทายาทหาต้องผูกพันไม่ เว้นแต่ทายาทจะได้ยินยอมด้วย

 
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางทองชุม ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2541 ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2542 จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็ม ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2540 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1679/1049 เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา ให้แก่นางทองชุมในราคา 150,000 บาท และมีข้อตกลงว่าหากผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระค่าเสียหายให้แก่นางทองชุม 300,000 บาท โดยนางทองชุมชำระราคาตามสัญญาครบถ้วนแล้ว ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2541 จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านการจดทะเบียนโอนที่ดินอ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของนางเข็มและยื่นคำฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเข็มต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 553/2542 ขอแบ่งทรัพย์มรดกวันที่ 22 เมษายน 2542 จำเลยทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตร่วมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้โจทก์ในฐานะทายาทของนางทองชุมได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท หากไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าที่ดินจำนวน 150,000 บาท พร้อมค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 450,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

          จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

          จำเลยที่ 2 ให้การว่า นายเขียว เป็นบุตรของนางเข็ม เจ้ามรดก ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2536 โดยนายเขียวถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2521 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของนายเขียวจึงเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของนางเข็มแทนที่นายเขียว ต่อมาวันที่ 12 พฤษภาคม 2540 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่ตั้งจำเลยที่ 1 บุตรอีกคนหนึ่งของนางเข็มเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 1 สมคบกับนางทองชุมมารดาโจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่นางทองชุมในราคาต่ำ โดยจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมสัญญาจะขายที่ดินพิพาทเกิดขึ้นเพราะกลฉ้อฉลไม่ต้องการให้จำเลยที่ 2 ได้รับโอนที่ดินทรัพย์มรดก จำเลยที่ 2 บอกล้างแล้วสัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด ต่อมาจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทได้รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกของนางเข็มตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 553/2542 โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทได้ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 180,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันที่ 9 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยกและให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ (ที่ถูก พิพากษาแก้) ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1679/1049 หมู่ที่ 7 (4) ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทองชุม หากจำเลยทั้งสองไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองในการจดทะเบียนโอนที่ดิน หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินได้ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 150,000 บาท และค่าเสียหายอีกจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทองชุม พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 8,000 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย

          จำเลยที่ 2 ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 และนายเขียว ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางเข็ม นางเข็มถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2536 โดยนางเขียวถึงแก่ความตายก่อนนางเข็มในวันที่ 28 กรกฎาคม 2521 จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็มตามคำสั่งศาลชั้นต้น โจทก์เป็นบุตรของนางทองชุม ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2541 และเป็นผู้จัดการมรดกของนางทองชุมตามคำสั่งศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 ก่อนนางทองชุมถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเข็มทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของนางเข็มเจ้ามรดกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 1679/1049 หมู่ที่ 7 (4) ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวาให้แก่นางทองชุมในราคา 150,000 บาท มีข้อตกลงว่าหากผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระค่าเยหายให้นางทองชุม 300,000 บาท นางทองชุมชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้ว วันที่ 27 กรกฎาคม 2541 จำเลยที่ 1 และนางทองชุมร่วมกันยื่นคำขอจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 7 สิงหาคม 2541 จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านการขอจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทและยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 553/2542 ขอแบ่งทรัพย์มรดกในฐานะทายาทมีสิทธิรับมรดกของนางเข็มแทนที่นายเขียว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่ 1 ยินยอมโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมและจำเลยที่ 2 ไปดำเนินการจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 แล้วตามสำเนาสารบัญจดทะเบียนเอกสารหมาย ล.5 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง เพราะการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางทองชุมมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและจำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ก่อนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 หรือไม่ เห็นว่า ในทางพิจารณาโจทก์มีนางจงดี เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีช่วยราชการงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโรงเรือนสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า ราคาซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทจำนวน 150,000 บาท เป็นราคาตามปกติไม่ได้ต่ำกว่าความเป็นจริงที่จำเลยที่ 2 อ้างตัวเองเป็นพยานเบิกความว่า ราคาที่ดินแปลงพิพาทราคาไร่ละ 100,000 บาท ก็ดี นางศศิธร พยานจำเลยเบิกความว่า ที่ดินแปลงพิพาทหากขายให้บุคคลอื่นได้ราคาประมาณ 250,000 บาท ก็ดี แต่จำเลยที่ 2 ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนให้ฟังได้ว่าราคาซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงกับที่ดินพิพาทมีราคาซื้อขายกันตามที่จำเลยที่ 2 อ้าง อันจะทำให้เห็นว่านางทองชุมกับจำเลยที่ 1 สมคบกันซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่า นางทองชุมเคยซื้อที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกไปจากจำเลยที่ 1 จำนวน 2 แปลง ด้วย แต่ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องขอเพิกถอนแต่อย่างใด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางทองชุมกับจำเลยที่ 1 เป็นการซื้อขายโดยสุจริตเช่นเดียวกับที่นางทองชุมเคยซื้อที่ดินมรดกแปลงอื่นจากจำเลยที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทระหว่างนางทองชุมกับจำเลยที่ 1 กระทำโดยสุจริตและมีการชำระราคาครบถ้วนแล้ว และในวันที่ไปยื่นคำขอจดทะเบียนซื้อขายที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์มีนางจงดีเจ้าพนักงานที่ดินผู้รับคำขอจดทะเบียนเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านยืนยันว่า ในวันยื่นคำขอจดทะเบียนมีจำเลยที่ 1 มากับนางทองชุมและพยานได้ทำการสอบสวนเบื้องต้นจำเลยที่ 1 ผู้ขายแล้ว จำเลยที่ 1 อ้างว่าเพื่อนำเงินที่ขายไปชำระหนี้กองมรดกของนางเข็ม ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปยื่นคำขอจดทะเบียนด้วยตนเอง แต่มอบอำนาจให้นางทองชุมเป็นผู้ยื่นและข้ออ้างว่าเพื่อนำเงินไปชำระหนี้มรดกเป็นข้ออ้างลอยๆ จึงเป็นเพียงความเห็นของจำเลยที่ 2 เองไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้นเมื่อได้ยื่นคำขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว แม้นางทองชุมจะยังไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทนางทองชุมก็เป็นบุคคลที่อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็มตามคำสั่งศาล ซึ่งนางศศิธรพยานจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่า ที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็มพยานและจำเลยที่ 2 ทราบและได้ให้ความยินยอม จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นและยินยอมให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางเข็ม ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเข็มทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทให้นางทองชุมโดยอ้างว่าเพื่อนำเงินที่ขายได้ไปชำระหนี้กองมรดกของนางเข็ม ซึ่งได้ระบุไว้ชัดแจ้งในคำขอจดทะเบียนสิทธิเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งเป็นอำนาจของผู้จัดการมรดกที่กระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1724 ทายาททุกคนของนางเข็มรวมทั้งจำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันต่อนางทองชุมในการที่จำเลยที่ 1 กระทำไปดังกล่าวการที่จำเลยที่ 1 กลับไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทนและรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเข็มได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทให้งานทองชุมไปก่อนแล้ว และได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้วทั้งยังได้ไปดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่นางทองชุมและอยู่ในระหว่างการดำเนินการของเจ้าพนักงานที่ดินเช่นนี้ นางทองชุมจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 หาใช่จำเลยที่ 2 ไม่ การที่จำเลยที่ 2 อาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกับจำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 จึงเป็นทางเสียเปรียบแก่นางทองชุมผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนของตนได้อยู่ก่อนโจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนางทองชุมจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินแปลงพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ประกอบ มาตรา 1599 และมาตรา 1600 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

          พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 1,500 บาท
 
 
 
( สุพัฒน์ บุญยุบล - พรเพชร วิชิตชลชัย - สุธี เทพสิทธา )
 

 

ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

สิทธิเรียกร้องมรดกของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่? ที่จำเลยได้รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นมรดกก็เนื่องจากทายาททุกคนตกลงมอบหมายให้จำเลยเป็นผู้นำไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งแก่ทายาท จำเลยจึงครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้จำเลยขายที่ดินมรดกนี้ไปก็ถือว่า จำเลยยังครอบครองเงินที่ขายแทนทายาททุกคนเพื่อการแบ่งปันกัน อายุความตัดสิทธิในระหว่างทายาทด้วยกันยังไม่เริ่มนับ เพราะการแบ่งปันทรัพย์มรดกนี้ 

ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปีจากทายาทผู้ครอบครอง

ปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่?? โจทก์ผู้เป็นทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกเสียภายในกำหนด 1 ปี จากจำเลยที่ 1 ผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวในทรัพย์มรดกของผู้ตาย ทรัพย์ในส่วนมรดกนั้นย่อมตกเป็นของจำเลยที่ 1 ทายาทผู้ครอบครอง เมื่อจำเลยที่ 1 ขายทรัพย์ซึ่งรวมส่วนมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 ย่อมใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นทายาทยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้เป็นทายาทอื่นได้ด้วย

 

 

ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มีผลอย่างไร?

ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน หรือจัดทำให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน จะมีผลอย่างไร? ถือว่าผู้จัดการมรดก ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกเป็นเหตุให้ทายาทอื่นได้รับความเสียหายและมีสิทธิร้องขอให้ถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่? การร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกหากผู้ร้องไม่ได้ระบุทายาทในบัญชีทายาทโดยธรรม จะมีผลให้ให้ผู้จัดการมรดกถือว่าเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงในเรื่องทายาทของเจ้ามรดกหรือไม่??

ขอให้ศาลสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก

ยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกของผู้ตายเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้มีส่วนได้เสีย แม้ว่าคำร้องใหม่นี้จะมีเนื้อหาและประเด็นอย่างเดียวกันกับคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งศาลมีคำพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดไปแล้วก็ตาม การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งให้งดการไต่สวนคำร้องของผู้คัดค้านที่ 2 เสียเช่นนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือครอบครองแทน

โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเพื่อนำมาใช้ในกิจการเหมืองแร่ สวนยางพาราโดยจดทะเบียนใส่ชื่อนายชัยสิน และจำเลย 9 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองแทนโจทก์โจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ในระหว่างการพิจารณาของศาลจำเลยที่ 2 ดำเนินการให้บุคคลภายนอกเข้ามาตัดต้นยางพาราในที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายอันเป็นการกระทำให้เปลืองไปเปล่าหรือบุบสลายหรือโอนไปยังผู้อื่นซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหากภายหลังโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี

แสดงบัญชีเครือญาติเป็นเท็จปิดบังจำนวนทายาท

คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกกฎหมายจะไม่บังคับให้ต้องยื่นบัญชีเครือญาติพร้อมไปกับคำร้องก็ตาม แต่ผู้จัดการมรดกเป็นบุคคลที่เจ้ามรดกให้ความไว้วางใจหรือเป็นบุคคลที่ศาลเห็นว่าน่าจะจัดการเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกมากที่สุด ซึ่งต้องดูจากพฤติการณ์และความสุจริตใจของผู้ร้องขอเป็นสำคัญ เมื่อผู้ร้องมีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางไม่สุจริต แสดงบัญชีเครือญาติเป็นเท็จเพื่อปิดบังข้อเท็จจริงในเรื่องจำนวนทายาทของผู้ตายอันอาจเป็นการเสียหายแก่ทายาทของผู้ตาย
 

 


 




ฟ้องคดีเรื่องมรดกและผู้จัดการมรดก

ทรัพย์มรดกของพระภิกษุผู้มรณภาพตกเป็นมรดกแก่วัด
เงื่อนไขของพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง
ไม่ถอนคนเดิมแต่ให้ตั้งคนใหม่เป็นผู้จัดการมรดกร่วม
ไม่ได้ระบุทายาทในบัญชีเครือยาทถือว่าปดปิดหรือไม่
ผู้มีส่วนได้เสียถอนผู้จัดการมรดก
บุคคลต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้
มรดกที่ผู้เป็นเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครอง
ผู้ค้ำประกันหนี้ค่าภาษีอากร-อายุความ
ฟ้องเรียกให้ชำระหนี้เงินกู้อย่างเจ้าหนี้สามัญ
คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
อายุความตัดสิทธิในระหว่างทายาทด้วยกัน
พินัยกรรมยกสิทธิอาศัยและสิทธิเก็บกิน
ทายาทรับผิดไม่เกินทรัพย์มรดก
สิทธิรับมรดกของทารกในครรภ์มารดา
ผู้แทนโดยชอบธรรมขอเป็นผู้จัดการมรดกร่วม
ผู้จัดการมรดก | สามีไม่ได้จดทะเบียน | ผู้มีส่วนได้เสีย
อำนาจร้องขอถอนผู้จัดการมรดก | พินัยกรรมเป็นโมฆะ
คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ