ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




จำเลยอุทธรณ์ไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ชอบ

ทนายความบริษัทสำนักงานพีศิริ ทนายความ จำกัด  

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร.  085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ)

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail:  leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3)  peesirilaw  หรือ (4) @peesirilaw   (5)   @leenont1 

ถือว่าผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยอุทธรณ์ไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ชอบ

อุทธรณ์ของโจทก์เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ค้ำประกันต้องถือว่าผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยอุทธรณ์ด้วย การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ โดยไม่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่ผู้ค้ำประกัน จึงไม่ชอบด้วยป.วิแพ่ง มาตรา 235 ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปโดยไม่สั่งให้ศาลชั้นต้นแก้ไขให้ถูกต้อง ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามป.วิแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลย พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้ผู้ค้ำประกัน แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7234/2552
 
          หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจคืนหลักประกันแก่ผู้ค้ำประกัน และมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินจำนวน 71,000 บาท มาคืนต่อศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์คำพิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้เรียกโฉนดที่ดินอันเป็นหลักประกันคืนจากผู้ค้ำประกัน เพื่อโจทก์จะได้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป และให้นำเงินจำนวน 71,000 บาท ที่โจทก์รับไปแล้วมาหักทอนกับค่าเสียหายตามคำพิพากษาอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ค้ำประกัน ต้องถือว่าผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยอุทธรณ์ด้วย การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ โดยไม่สั่งให้ส่งนำเนาอุทธรณ์แก่ผู้ค้ำประกัน จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 235 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาคดีไปโดยไม่สั่งให้ศาลชั้นต้นแก้ไขให้ถูกต้อง ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เสียตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 243 (2)

          คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 144 หมู่ที่ 5 ตำบลหินมูล อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม พร้อมส่งมอบบ้านและที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์กับใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อัตราเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

          จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี

          ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งว่า ถ้าจำเลยนำค่าเสียหายที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึงวันทราบคำสั่งนี้มาวางต่อศาลชั้นต้น ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ สำหรับค่าเสียหายเดือนต่อๆ ไป ให้จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน หากผิดนัดเดือนใดก็ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี

          เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2546 นายสาย ผู้ค้ำประกันได้ทำสัญญาไว้ต่อศาลชั้นต้นยอมตนเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 4693 ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มาเป็นหลักประกัน ส่วนจำเลยได้นำเงินค่าเสียหายที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์

          ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ เนื่องจากจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์

          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

          วันที่ 8 สิงหาคม 2549 ผู้ค้ำประกันและจำเลยยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นโดยผู้ค้ำประกันขอให้ศาลชั้นต้นคืนโฉนดที่ดินซึ่งเป็นหลักประกัน ส่วนจำเลยขอรับเงินค่าเสียหายที่นำมาวางต่อศาลชั้นต้นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 ถึงเดือนเมษายน 2547 รวม 71,000 บาท คืน

          ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจคืนหลักประกันแก่ผู้ค้ำประกัน และสั่งคำแถลงของจำเลยว่า โจทก์รับเงินค่าเสียหายอันเป็นการประกันชั้นอุทธรณ์ไปแล้ว จึงให้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบ เมื่อได้รับเงินคืนแล้ว ให้เบิกจ่ายเงินคืนจำเลย

          วันที่ 8 กันยายน 2549 โจทก์ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าว

          ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ค้ำประกันนำหลักประกัน คือโฉนดที่ดินเลขที่ 4693 ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มาคืนให้ศาลชั้นต้น กับให้โจทก์นำเงินจำนวน 71,000 บาท มาคืนให้ศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ

          โจทก์และจำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจคืนหลักประกันแก่ผู้ค้ำประกัน และมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินจำนวน 71,000 บาท มาคืนต่อศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องโต้แยงคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้เรียกโฉนดที่ดินอันเป็นหลักประกันคืนจากผู้ค้ำประกัน เพื่อโจทก์จะได้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปและให้นำเงินจำนวน 71,000 บาท ที่โจทก์รับไปแล้วมาหักทอนกับค่าเสียหายตามคำพิพากษา อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ค้ำประกันต้องถือว่าผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยอุทธรณ์ด้วย การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ โดยไม่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่ผู้ค้ำประกัน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 235 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาคดีไปโดยไม่สั่งให้ศาลชั้นต้นแก้ไขให้ถูกต้อง ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคามแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 243 ประกอบด้วยมาตรา 243 (2) กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยต่อไป”

          พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้ผู้ค้ำประกัน แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้ยกฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์และจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

( อิศเรศ ชัยรัตน์ - ชัยวุฒิ โลหชิตรานนท์ - ไมตรี ศรีอรุณ )

     




ผู้ค้ำประกัน

ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วม-กฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมใหม่
ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
สัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ
ผู้ค้ำประกันไล่เบี้ยลูกหนี้
แปลงหนี้ใหม่หนี้เดิมระงับผู้ค้ำประกันหลุดพ้น
ผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิเกี่ยงให้เจ้าหนี้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน