ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ซื้อขายที่ดินตามที่วัดได้จริง

ทนายความบริษัทสำนักงานพีศิริ ทนายความ จำกัด  

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร.  085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ)

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail:  leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3)  peesirilaw  หรือ (4) @peesirilaw   (5)   @leenont1 

ซื้อขายที่ดินตามที่วัดได้จริง

 จากหลักฐานแสดงให้เห็นว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะซื้อขายที่ดินกันตามจำนวนเนื้อที่ตามที่วัดได้จริงหรือที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดินในวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคา กล่าวคือเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินได้จำนวนเนื้อที่ที่แน่นอนแล้ว มิใช่ให้คิดตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ในเอกสารของกรมที่ดินก่อนวันรังวัดตรวจสอบเนื้อที่ดิน

จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โดยระบุที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 69 ตารางวา ต่อมามีการทำสัญญากันใหม่โดยระบุจำนวนเนื้อที่ที่จะซื้อขายกันว่าให้ถือตามที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดิน การซื้อขายรายนี้จึงเป็นการซื้อขายที่ดิน โดยระบุจำนวนเนื้อที่ไว้ในสัญญามิใช่เป็นการซื้อขายแบบเหมายกแปลง ก่อนถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดตรวจสอบเนื้อที่ตามที่จำเลยร้องขอปรากฎว่าแท้จริงที่ดินมีจำนวน 4 ไร่ 2 งาน 42 4/10ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินจึงแก้ไขจำนวนเนื้อที่ที่ดิน ให้เป็นไปตามที่เจ้าพนักงานรังวัดใหม่ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2103/2538

          เดิมโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่4ไร่1งาน69ตารางวาในราคาตารางวาละ3,100บาทต่อมาโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวใหม่โดยระบุว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงจะซื้อขายกันในราคาตารางวาละ3,100บาทเหมือนเดิมตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดินต่อมาจำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามจำเลยเนื้อที่ที่เจ้าพนักงานรังวัดใหม่คือ4ไร่2งาน424/10ตารางวาแต่โจทก์จะยอมรับซื้อและชำระราคาที่ดินเฉพาะจำเลยเนื้อที่4ไร่67ตารางวาเท่านั้นดังนั้นเมื่อปรากฎว่าโจทก์และจำเลยเคยตกลงเลื่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินออกไปเพราะเจ้าพนักงานที่ดินยังทำการรังวัดไม่แล้วเสร็จย่อมแสดงให้เห็นว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะซื้อขายที่ดินพิพาทกันตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดินในวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคากล่าวคือเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทได้จำนวนเนื้อที่ที่แน่นอนแล้วมิใช่ให้คิดตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ในเอกสารของกรมที่ดินในวันที่ทำหน้งสือสัญญาจะซื้อขายดังนั้นการที่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ประสงค์จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวอย่างไรก็ตามที่โจทก์จำเลยไปสำนักงานที่ดินเพื่อทำการโอนที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื่อขายแต่มีปัญหาเกี่ยวกับการตีความในสัญญาซึ่งไม่อาจตกลงกันได้และทั้งสองฝ่ายต้องการให้ศาลเป็นผู้ตัดสินแสดงว่าโจทก์ปฏิเสธที่จะรับโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์เข้าใจว่าไม่ถูกต้องตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้นเห็นได้ว่ากรณีเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันเกี่ยวกับการตีความในข้อตกลงตามสัญญายังถือไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาไม่ปฏิบัติตามสัญญาจำเลยจะอ้างข้อโต้แย้งดังกล่าวมาบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำหาได้ไม่

          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2531 โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินตราจอง เลขที่ 2624 เลขที่ดิน 16ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน (ปราณบุรี) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เนื้อที่ 4 ไร่ 69 ตารางวา ราคาตารางวาละ 3,100 บาท เป็นเงิน5,173,900 บาท ตามสำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อขายและตราจองเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 และ 3 ตกลงนัดไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในวันที่ 18 สิงหาคม 2531 เมื่อถึงวันนัดโจทก์เตรียมเงินไปชำระราคาที่ดินตามสัญญา แต่จำเลยขอเลื่อนไปอีก 45 วัน ต่อมาตกลงนัดไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในวันที่ 28 กันยายน 2531เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญา แต่จะโอนกรรมสิทธิ์เนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็น 4 ไร่ 2 งาน 42 4/10 ตารางวา ซึ่งไม่ตรงกับเนื้อที่ที่ระบุไว้ในตราจอง เลขที่ 2624 และจะให้โจทก์ชำระราคาที่ดินเป็นเงิน 5,483,900 บาท โดยอ้างว่าในขณะนั้นตราจอง เลขที่2624 ระบุที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 42 4/10 ตารางวา การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายเพราะรังวัดเอาที่ดินข้างเคียงทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินรวมเข้ากับที่ดินของจำเลยด้วย เป็นเหตุให้มีที่ดินเพิ่มขึ้นอีก173.4 ตารางวา อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ประสงค์จะซื้อที่ดินจำนวนที่เพิ่มนั้น ก่อนฟ้องจำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา โจทก์จึงได้มีหนังสือตอบปฏิเสธและแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวและชำระค่าปรับ 825,000 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตราจองเลขที่ 2624 เลขที่ดิน 16ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน (ปราณบุรี) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เนื้อที่ 4 ไร่ 69 ตารางวาเฉพาะส่วนที่ติดต่อกับที่ดินตราจองเลขที่ 1126 เลขที่ดิน 10 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน (ปราณบุรี)จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แก่โจทก์ ในราคา 5,173,900 บาทหากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาจำเลยให้จำเลยชำระค่าปรับ 825,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือภายหลังที่หักเงินมัดจำและค่าปรับตามสัญญาแล้วเป็นเงิน 3,248,900 บาท จากโจทก์

          จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินตราจองเลขที่ 2624 ต่อกัน โดยระบุที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 69 ตารางวา ต่อมามีการทำสัญญากันใหม่ในวันที่3 มิถุนายน 2531 โดยระบุจำนวนเนื้อที่ที่จะซื้อขายกันว่าให้ถือตามที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การซื้อขายรายนี้จึงเป็นการซื้อขายที่ดิน โดยระบุจำนวนเนื้อที่ไว้ในสัญญามิใช่เป็นการซื้อขายแบบเหมายกแปลง ก่อนถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดตรวจสอบเนื้อที่ตามที่จำเลยร้องขอปรากฎว่าแท้จริงที่ดินมีจำนวน 4 ไร่ 2 งาน 42 4/10ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงแก้ไขจำนวนเนื้อที่ที่ระบุในตราจอง เลขที่ 2624 ให้เป็นไปตามที่เจ้าพนักงานรังวัดใหม่ ดังนั้น การซื้อขายที่ดินแปลงนี้จึงเป็นการซื้อขายที่ดินโดยระบุเนื้อที่ไว้ในสัญญาว่ามีเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 42 4/10ตารางวา ราคาตารางวาละ 3,100 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 5,711,440 บาทซึ่งที่ดินที่เจ้าพนักงานทำการรังวัดนี้ไม่ได้รังวัดรวมเอาที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินเข้ากับที่ดินของจำเลยด้วยตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ต่อมาในวันที่ 28 กันยายน 2531 ซึ่งเป็นวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กัน จำเลยพร้อมที่จะส่งมอบและจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวตามจำนวนเนื้อที่ที่เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดใหม่ ในราคา 5,711,440 บาท แต่โจทก์ไม่ยอมชำระราคาดังกล่าว จะชำระให้เพียง 5,173,900 บาท ตามจำนวนเนื้อที่ 4 ไร่ 69 ตารางวา ซึ่งไม่ถูกต้อง จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อขายแก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินตราจอง เลขที่ 2624 ตำบลหนองแกอำเภอหัวหิน (ปราณบุรี) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่4 ไร่ 1 งาน 69 ตารางวา ในราคาตารางวาละ 3,100 บาท ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2531โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวใหม่โดยระบุว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงจะซื้อขายกันเหมือนเดิมในราคาตารางวาละ3,100 บาท ตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายละเอียด ปรากฎตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3/1 ต่อมาวันที่ 28 กันยายน 2531จำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ที่เจ้าพนักงานรังวัดใหม่คือ 4 ไร่ 2 งาน 42 4/10 ตารางวาแต่โจทก์จะยอมรับซื้อและชำระราคาที่ดินเฉพาะจำนวนเนื้อที่4 ไร่ 67 ตารางวา เท่านั้น จึงตกลงกันไม่ได้ และโจทก์มาฟ้องคดีนี้คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อขายและโจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทในเนื้อที่4 ไร่ 69 ตารางวา ราคา 5,173,900 บาท แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่าเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2531 โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกันใหม่ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3/1 ซึ่งระบุว่า "2 คู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงจะซื้อขายกันเหมือนเดิมในราคาตารางวาละ 3,100 บาท ตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์" ร้อยตำรวจโทอุท้ย ประทุมทอง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระโขนง พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้พิมพ์หนังสือสัญญาดังกล่าวเบิกความว่า คู่กรณีจะมีการซื้อขายกันเหมือนเดิมเป็นการซื้อขายที่ดินกันทั้งแปลง ในราคาตารางวาละ 3,100 บาท แต่รวมเป็นราคาทั้งสิ้นเท่าใด ไม่มีการระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายฉบับใหม่ที่ทำขึ้น แต่มีการะบุให้คำนวนราคาจากเนื้อที่ที่ระบุไว้ในเอกสารของกรมที่ดิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เหตุที่ต้องคิดคำนวณจากจำนวนเนื้อที่ที่ดินนั้นเนื่องจากโจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกันเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ที่ดินอยู่ ไม่สามารถระบุเนื้อที่ที่แน่นอนได้จึงไม่อาจกำหนดราคาที่แน่นอนได้ โจทก์เบิกความว่า สาเหตุที่ไม่มีการระบุจำนวนเนื้อที่และราคาที่แน่นอนไว้ในหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทที่ทำขึ้นใหม่เพราะโจทก์ได้บอกแก่จำเลยว่า ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 69 ตารางวา นั้น ไม่ตรงกับที่โจทก์ได้ตรวจสอบกับกรมที่ดินและไม่เท่ากับเนื้อที่ของที่ดินตามตราจองเลขที่ 1126 ที่โจทก์ซื้อมาจากนางสุวรรณาก่อนแล้ว จำเลยจึงไม่ยอมให้ระบุจำนวนเนื้อที่ดินตามตราจองเลขที่ 2624 ไว้ในหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับใหม่ โจทก์และจำเลยจึงตกลงกันว่าราคาซื้อขายที่ดินตราจองเลขที่ 2624 นั้น ให้คิดตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ในเอกสารของกรมที่ดิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันทำสัญญาฉบับใหม่(วันที่ 3 มิถุนายน 2531) ส่วนจำเลยเบิกความว่าเหตุที่มีการทำสัญญาตามข้อ 2 (หนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3/1) โดยที่ไม่ระบุจำนวนเนื้อที่ที่ดินในสัญญาก็เพราะโจทก์ได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้วพบว่า ที่ดินตามตราจองเลขที่ 2624นั้นระบุจำนวนเนื้อที่ว่า 4 ไร่ 69 ตารางวา ส่วนในช่องจำนวนงานนั้นไม่ชัดเจนว่าเป็น 1 หรือ 0 งาน จึงทำให้โจทก์ต้องมาทำสัญญากับจำเลยใหม่ ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2531 จำเลยจึงไปติดต่อเจ้าพนักงานที่ดินสอบถามว่าที่ดินของจำเลยมีจำนวนเนื้อที่เท่าใดได้รับคำแนะนำให้ยื่นเรื่องราวขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินและจำเลยได้ดำเนินการขอรังวัดที่ดินแล้ว นอกจากนี้ ได้ความว่าโจทก์เองก็ทราบว่าก่อนถึงวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยได้ไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทให้ ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2531 ซึ่งเป็นวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โจทก์และจำเลยตกลงเลื่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินออกไปอีกเพราะเจ้าพนักงานที่ดินยังทำการรังวัดไม่แล้วเสร็จด้วย เมื่อรังวัดเสร็จแล้วปรากฎว่าที่ดินตราจองเลขที่ 2624 มีเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 42 4/10 ตารางวาตามสำเนาตราจองเอกสารหมาย จ.14 ศาลฎีกาเห็นว่า จากพยานหลักฐานดังกล่าวมาแสดงให้เห็นว่าคู่กรณีมีเจตนาที่จะซื้อขายที่ดินพิพาทกันตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุในเอกสารของกรมที่ดินในวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคา กล่าวคือเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทได้จำนวนเนื้อที่ที่แน่นอนแล้ว มิใช่ให้คิดตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ในเอกสารของกรมที่ดินในวันที่ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3/1 ดังที่โจทก์ฎีกา ดังนั้นที่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ประสงค์จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดสัญญาจะซื้อขายดังกล่าว เพราะโจทก์จะต้องรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและชำระราคาตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ในเอกสารของกรมที่ดินในวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ที่โจทก์จำเลยไปสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาหัวหิน เพื่อทำการโอนที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื้อขายแต่มีปัญหาเกี่ยวกับการตีความในสัญญาซึ่งไม่อาจตกลงกันได้ และทั้งสองฝ่ายต้องการให้ศาลเป็นผู้ตัดสินตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.8 แสดงว่าโจทก์ปฏิเสธที่จะรับโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์เข้าใจว่าไม่ถูกต้องตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น เห็นได้ว่ากรณีเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันเกี่ยวกับการตีความในข้อตกลงตามสัญญา ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยจะอ้างข้อโต้แย้งดังกล่าวมาบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำหาได้ไม่

          พิพากษายืน
 

( สมพงษ์ สนธิเณร - สมภพ โชติกวณิชย์ - ไพโรจน์ คำอ่อน )

 มาตรา 368    สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย

มาตรา 386    ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายการเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

แสดงเจตนาดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่

 




ซื้อขายที่ดิน

ลักษณะการวางมัดจำหรือการชำระหนี้บางส่วน
ผู้ซื้อที่ดินฟ้องขับไล่เจ้าของรวมได้หรือไม่?
หนังสือมอบอำนาจนอกวัตถุประสงค์
โอนสิทธิครอบครองที่ดินระหว่างราษฎรด้วยกัน
สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
ขายสิทธิครอบครองและส่งมอบการครองครองที่ดิน