
พิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้อง
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont
คำขอท้ายฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทจำนวนกึ่งหนึ่ง เมื่อที่ดินรังวัดได้เนื้อที่เพียง 3 งาน 5 ตารางวากึ่งหนึ่งจึงมีเพียง 1 งาน 52.5 ตารางวา แม้จะได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดเนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวาก็ตาม ศาลฎีกาไม่อาจแบ่งที่ดินได้มากกว่าคำขอท้ายฟ้องเพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้อง ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 ตำบลไผ่ขวาง อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี มีเนื้อที่ตามโฉนด 1 ไร่ แต่ตอนทำแผนที่วิวาท เอกสารหมาย จ.ล.1 เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดได้เนื้อที่เพียง 3 งาน 5 ตารางวา กึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาท จึงมีเนื้อที่ 1 งาน 52.5 ตารางวา เท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การหรือบรรยายฟ้องว่า จำเลยครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด อันทำให้จำเลยได้ที่ดินมากกว่าโจทก์ 15 ตารางวา แต่กลับมีคำขอท้ายฟ้องขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 จำนวนกึ่งหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแบ่งที่ดินให้แก่จำเลยได้เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา ตามที่จำเลยครอบครองได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้องต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6370 - 6371/2550 สำนวนแรก โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 12517 ตำบลไผ่ขวาง อำเภอบ้านหม้อ จังหวัดสระบุรี ด้านทิศตะวันตกเป็นของโจทก์ ด้านทิศตะวันออกเป็นของจำเลย โดยถือแนวรั้วตั้งแต่ทิศเหนือจดทิศใต้เป็นแนวเขตที่ดินตามที่แบ่งแยกการครอบครองไว้แล้ว โดยยื่นคำขอแบ่งแยกเสียค่าใช้จ่ายฝ่ายละเท่ากัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้แต่ละฝ่ายไม่เข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินของอีกฝ่ายตามแนวรั้วที่แบ่งแยกอีกต่อไป จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี (สาขาพระพุทธบาท) เพื่อขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 12517 ร่วมกับโจทก์และนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตลอดจนจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินและโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งของเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินตามแผนผังที่ระบายด้วยสีแดงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาตามคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้คงเรียกโจทก์สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยสำนวนที่สองว่า โจทก์ เรียกจำนวนสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์สำนวนที่สองว่า จำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยไปรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 12517 โดยให้จำเลยได้ที่ดินด้านทิศตะวันออกภายในกรอบเส้นสีเขียว ให้โจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตกในส่วนที่เหลือตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรังวัดแบ่งแยก ให้โจทก์และจำเลยออกคนละกึ่งหนึ่ง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยได้ที่ดินด้านทิศตะวันออก และให้โจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตก เนื้อที่คนละกึ่งหนึ่ง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วนภายในกรอบเส้นสีแดงของแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 หรือไม่ เห็นว่า ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 โจทก์นำชี้แนวเขตของตนภายในกรอบเส้นสีแดงล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 12521 ของผู้อื่นเนื้อที่ 1 งาน 8 ตารางวา และอยู่ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 เนื้อที่ 2 งาน 53 ตารางวา รวมเนื้อที่ 3 งาน 61 ตารางวา เกินกว่าเนื้อที่ส่วนของโจทก์ซึ่งอ้างว่ามี 2 งาน ทั้งรูปที่ดินที่โจทก์นำชี้และส่วนที่นายอุดมขายให้แก่นางจิ๋งที่อ้างว่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ไม่สอดคล้องกับรูปแผนที่ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 12517 และแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ที่เป็นรูปสามเหลี่ยม แต่ที่จำเลยนำสืบว่านายอุดมชี้แนวเขตที่ดินพิพาทให้แก่นางจิ๋งดูเป็นรูปสามเหลี่ยมเนื้อที่ 2 งาน นอกจากจะสอดคล้องกับรูปแผนที่ที่ดินในโฉนดที่ดินเลขที่ 12517 แล้ว จำเลยยังนำชี้แนวเขตของตนภายในกรอบเส้นสีเขียวของแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เนื้อที่เพียง 1 งาน 60 ตารางวา ซึ่งใกล้เคียงกับเนื้อที่ที่จำเลยซื้อมาอีกด้วย ทั้งเมื่อคิดหักเนื้อที่ดังกล่าวออกจากเนื้อที่ของที่ดินพิพาทตามที่รังวัดได้ 3 งาน 5 ตารางวา แล้ว ทำให้ที่ดินส่วนของโจทก์คงเหลือเนื้อที่ 1 งาน 45 ตารางวา น้อยกว่าที่ดินส่วนของจำเลย 15 ตารางวา เท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดภายในกรอบเส้นสีแดงของแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 แต่ฟังได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทภายในกรอบเส้นสีเขียวตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 มีเนื้อที่ 1 ไร่ แต่ตอนทำแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดได้เนื้อที่เพียง 3 งาน 5 ตารางวา กึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 จึงมีเนื้อที่ 1 งาน 52.5 ตารางวา เท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การหรือบรรยายฟ้องว่า จำเลยครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดอันทำให้จำเลยได้ที่ดินมากกว่าโจกท์ 15 ตารางวา แต่กลับมีคำขอท้ายฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 จำนวนกึ่งหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแบ่งที่ดินให้แก่จำเลยได้เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา ตามที่จำเลยครอบครองได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยได้ที่ดินด้านทิศตะวันออกและโจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตกตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เนื้อที่คนละกึ่งหนึ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสิน ตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ สิทธิของบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายในการรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย ผู้คัดค้านอุปการะเลี้ยงดูผู้ตายมาตั้งแต่เด็ก รับรองและแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าผู้ตายเป็นบุตร ส่งเสียให้การศึกษา ถือได้ว่าผู้ตายเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว แต่ผลของกฎหมายเพียงแต่ให้ถือว่าบุตรนั้นเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาเท่านั้น หาได้มีผลทำให้บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิได้รับมรดกของบุตรในฐานะทายาทโดยธรรมด้วยไม่ ผู้คัดค้านจึงมิใช่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้ตาย ไม่มีสิทธิคัดค้านหรือร้องขอต่อศาลให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ มีเหตุสมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดก ผู้จัดการมรดกได้ทำการโอนที่ดินอีกแปลงหนึ่ง พร้อมตึกแถว อันเป็นทรัพย์มรดกใส่เป็นชื่อของตนเองทางทะเบียน แล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารเป็นประกันหนี้ของตนเองและผู้อื่น ในวงเงินสูงถึงสิบล้านบาทเศษ ผู้จัดการมรดกอ้างว่าจะนำเงินมาดำเนินการปลูกสร้างแฟลตเพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่ทายาท พฤติการณ์ในการจัดการมรดกส่อแสดงไปในทางไม่สุจริต เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หากจะให้เป็นผู้จัดการมรดกต่อไป การจัดการมรดกย่อมจะล่าช่า ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองมรดกและทายาทได้ สมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดกรายนี้
|