ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ช่วยซ่อนเร้นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont               

 

การที่จำเลยช่วยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของผู้อื่น โดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือมิให้บุคคลนั้นได้รับโทษและถูกจับกุมดำเนินคดีนั้นพฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบต่อสู้คดีตลอดมา อันเป็นการไม่รู้สึกสำนึกในความผิดแม้จำเลยจะฎีกาอ้างว่าจำเลยมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูมารดากับบุตร และจำเลยกับบุตรเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงด้วยนั้น กรณีก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย

              คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5811/2550

การที่ ช. ขับรถจักรยานยนต์ไปและใช้อาวุธปืนยิง ส. ถึงแก่ความตายแล้วขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไปนั้น นอกจากอาวุธปืนซึ่งเป็นทรัพย์ที่ ช. ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงและถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีแล้วรถจักรยานยนต์ของกลางที่ ช. ใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิง ส. และหลบหนีก็เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงเช่นกัน และเป็นพยานหลักฐานสำคัญอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถใช้พิสูจน์การกระทำความผิดของ ช. ได้หากมีพยานบุคคลมาพบเห็นการกระทำความผิดดังกล่าว และจดจำลักษณะของรถจักรยานยนต์ของกลางที่ ช. ขับได้ ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการสืบสวนสอบสวนนำไปสู่การติดตามจับกุมตัว ช. มาลงโทษได้ ดังนั้น การที่จำเลยช่วยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 184

         โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยเจตนาเพื่อจะช่วยนายชูชาติ  ผู้ต้องหากับพวกมิให้ต้องรับโทษหรือได้รับโทษน้อยลงโดยจำเลยทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่นายชูชาติกับพวกใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิงนายสรวุฒิ  ถึงแก่ความตายและหลบหนีให้พ้นจากการจับกุม ซึ่งเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยการนำรถคันดังกล่าวไปซุกซ่อนเพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางในคดีดังกล่าวได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184

          จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 จำคุก 1 ปี

             จำเลยอุทธรณ์

             ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2543 เวลา 03.45 นาฬิกา นายชูชาติใช้อาวุธปืนยิงนายสรวุฒิ ถึงแก่ความตายที่ตำบลท่าระหัด อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาวันเดียวกันเวลาประมาณ 18 นาฬิกา นายชูชาตินำรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิงผู้ตายและหลบหนีไปมอบให้แก่จำเลยที่บ้านของจำเลยที่ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี แล้วจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปจอดเก็บไว้ภายในบ้านของนายสม  ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายชูชาติและติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้จากบ้านของนายสม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีไพโรจน์ คุ้มภัย และร้อยตำรวจโทพรม แก้วพลายตา ผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากพยานทั้งสองจับกุมนายชูชาติได้ตามสำเนาบันทึกการจับกุม นายชูชาติให้การรับว่าได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะไปยิงผู้ตาย จากนั้นขับหลบหนีไปพบจำเลยและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จำเลยทราบพร้อมทั้งขอร้องให้จำเลยช่วยเหลือจำเลยรับว่าจะช่วยเหลือโดยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปซุกซ่อนให้ พยานทั้งสองจึงติดตามไปสอบถามจำเลยที่บ้านของจำเลย ในเบื้องต้นจำเลยปฏิเสธหลายครั้งว่าไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่เมื่อพยานทั้งสองแจ้งว่านายชูชาติถูกจับกุมแล้ว จำเลยจึงยอมรับว่าได้รับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากนายชูชาติและอ้างว่านำไปจำนำไว้แก่นายสมในราคา 1,500 บาท พยานทั้งสองให้จำเลยพาไปที่บ้านของนายสม เมื่อไปถึงพบนายสมอยู่ที่บ้าน สอบถามนายสมได้ความว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางมาขอฝากไว้กับตน นายสมจึงให้จำเลยนำรถเข้าไปจอดไว้ภายในบ้านโดยจำเลยได้นำผ้ามาคลุมรถไว้ จากนั้นนายสมพาพยานทั้งสองเข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน พบรถจักรยานยนต์ของกลางจอดอยู่โดยมีผ้าคลุมไว้อย่างมิดชิด เมื่อสอบถามถึงกุญแจรถจำเลยกับนายสมต่างปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด พยานทั้งสองจึงจับกุมจำเลยและยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ตามบันทึกการจับกุม โจทก์ยังมีนายสม  เป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปหาพยานที่บ้านและพูดฝากรถไว้กับพยาน พยานรับฝากไว้โดยให้จำเลยนำรถเข้าไปจอดไว้ภายในบ้านและลูกสาวของพยานได้นำผ้าขนหนูมาคลุมรถไว้ โดยพยานไม่ได้รับจำนำรถไว้จากจำเลยแต่อย่างใด ซึ่งในชั้นสอบสวนพยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้ตามบันทึกคำให้การของพยาน เห็นว่า พันตำรวจตรีไพโรจน์และร้อยตำรวจโทพรมพยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ และไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความและสร้างพยานหลักฐานขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลยเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความและจัดทำเอกสารต่างๆ ขึ้นตามความเป็นจริงการที่พยานโจทก์ทั้งสองติดตามไปยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้จากบ้านนายสมก็สืบเนื่องมาจากพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกจับกุมนายชูชาติซึ่งเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายได้และสอบถามนายชูชาติได้ความว่า หลังจากกระทำความผิดนายชูชาติได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขับไปกระทำความผิดและหลบหนีไปฝากจำเลยไว้ แต่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองติดตามไปสอบถามจำเลยในเบื้องต้นแทนที่จำเลยจะแจ้งให้พยานโจทก์ทั้งสองทราบแต่โดยดีว่านายชูชาติได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางมามอบให้แก่จำเลยไว้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน แต่จำเลยกลับบ่ายเบี่ยงปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเกี่ยวกับรถคันดังกล่าว จนกระทั่งพยานโจทก์ทั้งสองแจ้งว่านายชูชาติถูกจับกุมแล้ว จำเลยจึงยอมรับว่านายชูชาตินำรถมามอบให้จำเลยไว้และอ้างว่านำรถไปจำนำไว้แก่นายสม แต่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองติดตามไปสอบถามนายสม นายสมกลับปฏิเสธว่าจำเลยเพียงแต่นำรถมาฝากไว้กับตนเท่านั้นมิได้นำมาจำนำไว้ อันเป็นการขัดแย้งกับข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวซึ่งนับว่าเป็นข้อพิรุธของจำเลยอย่างยิ่ง ส่วนที่นายสมเบิกความอ้างว่า เมื่อนายสมรับฝากรถไว้ได้ให้จำเลยนำรถเข้าไปจอดไว้ภายในบ้านของนายสมและบุตรสาวของนายสมเป็นผู้นำผ้าขนหนูมาคลุมรถไว้ โดยจำเลยมอบกุญแจรถให้ด้วยนั้นก็ขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสม ซึ่งระบุว่าจำเลยเป็นผู้นำผ้าขนหนูมาคลุมรถไว้ด้วยตนเองและเอากุญแจรถไปด้วย โดยนายสมได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนในวันเดียวกับที่เจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้และไม่ปรากฏว่านายสมได้ให้การโดยถูกบังคับ ขู่เข็ญหรือล่อลวงแต่ประการใดจึงเชื่อว่านายสมได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามความเป็นจริง จึงรับฟังได้ว่าจำเลยได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางเข้าไปจอดเก็บไว้ภายในบ้านของนายสมและใช้ผ้าคลุมปกปิดรถไว้ด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวข้างต้นประกอบกับรายละเอียดในสำเนาบันทึกการจับกุมนายชูชาติ ซึ่งระบุว่านายชูชาติได้แจ้งเรื่องที่ตนนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปกระทำความผิดมาให้จำเลยทราบแล้วก่อนที่จำเลยจะรับฝากรถและนำไปซุกซ่อนไว้ การที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปเก็บไว้ภายในบ้านของนายสมและใช้ผ้าคลุมปกปิดรถไว้อย่างมิดชิดนั้น ก็เพื่อซ่อมเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้มิให้ผู้อื่นพบเห็น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงสอดคล้องต้องกันและมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยรับฝากรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากนายชูชาติโดยทราบดีว่านายชูชาติใช้รถคันดังกล่าวเป็นยานพาหนะไปยิงผู้ตายและหลบหนี แล้วจำเลยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ เพื่อจะช่วยนายชูชาติมิให้ต้องรับโทษตามที่นายชูชาติขอร้องให้ช่วยเหลือ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยนำสืบว่านายชูชาตินำรถจักรยานยนต์ของกลางไปจำนำไว้แก่จำเลยในราคา 1,500 บาท โดยได้มอบรถจักรยานยนต์ ใบคู่มือจดทะเบียน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินให้แก่จำเลยไว้และไม่ได้บอกจำเลยว่าได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางไปกระทำความผิดมา ซึ่งจำเลยมีนายชูชาติมาเบิกความเป็นพยานด้วยนั้น เห็นว่า ในข้อนี้ได้ความจากพันตำรวจตรีประสาน หอมชื่น พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยไม่ได้แจ้งแก่พยานว่าในการรับจำนำรถดังกล่าวนายชูชาติได้มอบสัญญากู้เงินและใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่จำเลยไว้ ซึ่งหากมีการมอบให้แก่จำเลยไว้แต่แรก จำเลยก็น่าจะนำมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นพยานหลักฐานยืนยันตามข้ออ้างของตน ทั้งจำเลยกับนายชูชาติก็เป็นเพื่อนบ้านกันและรู้จักกันเป็นอย่างดี ประกอบกับจำนวนเงินที่จำเลยอ้างว่ารับจำนำรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ก็ไม่สูงนัก จึงไม่น่าเชื่อว่าจะมีการจัดทำเอกสารต่างๆ มอบให้แก่กันไว้ดังที่จำเลยอ้าง พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่สมเหตุสมผลและไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่ใช้เดินทางไปมามิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด จึงไม่ใช่พยานหลักฐานในการกระทำความผิด การที่จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 นั้น เห็นว่า การที่นายชูชาติขับรถจักรยานยนต์ไปและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไปนั้น นอกจากอาวุธปืนซึ่งเป็นทรัพย์ที่นายชูชาติใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงและถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีแล้ว รถจักรยานยนต์ของกลางที่นายชูชาติใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิงผู้ตายและหลบหนี ก็เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงเช่นกัน และเป็นพยานหลักฐานสำคัญอีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถใช้พิสูนจ์การกระทำความผิดของนายชูชาติได้หากมีพยานบุคคลมาพบเห็นการกระทำความผิดดังกล่าวและจดจำลักษณะของรถจักรยานยนต์ของกลางที่นายชูชาติขับได้ ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการสืบสวนสอบสวนนำไปสู่การติดตามจับกุมตัวนายชูชาติมาลงโทษได้ ดังนั้นการที่จำเลยช่วยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า นายชูชาติกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นคดีร้ายแรงมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต การที่จำเลยช่วยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของนายชูชาติ โดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือมิให้นายชูชาติได้รับโทษและถูกจับกุมดำเนินคดีนั้น นับว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้กระทำความผิดอาจไม่ต้องรับโทษในความผิดที่ได้กระทำลงซึ่งก่อให้เกิดความไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย และกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมส่วนรวมพฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบต่อสู้คดีตลอดมา อันเป็นการไม่รู้สึกสำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงอีกด้วย แม้จำเลยจะฎีกาอ้างว่าจำเลยมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูมารดากับบุตร และจำเลยกับบุตรเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงด้วยนั้น กรณีก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
                           พิพากษายืน
( พีรพล พิชยวัฒน์ - เกษม วีรวงศ์ - ฐานันท์ วรรณโกวิท )
                            ประมวลกฎหมายอายญา
มาตรา 184 ผู้ใดเพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษ น้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้ สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ
-ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ ซ่อนเร้นซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด -
 

มีเหตุสมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดก

ผู้จัดการมรดกได้ทำการโอนที่ดินอีกแปลงหนึ่ง พร้อมตึกแถว อันเป็นทรัพย์มรดกใส่เป็นชื่อของตนเองทางทะเบียน แล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารเป็นประกันหนี้ของตนเองและผู้อื่น ในวงเงินสูงถึงสิบล้านบาทเศษ ผู้จัดการมรดกอ้างว่าจะนำเงินมาดำเนินการปลูกสร้างแฟลตเพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่ทายาท พฤติการณ์ในการจัดการมรดกส่อแสดงไปในทางไม่สุจริต เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หากจะให้เป็นผู้จัดการมรดกต่อไป การจัดการมรดกย่อมจะล่าช่า ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองมรดกและทายาทได้ สมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดกรายนี้

คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก

จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาททุกคน เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปี

 




ฎีกาปี2550

ความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน
เรียกค่าเสียหายเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเอง
ผู้พิพากษาคนเดียวลงโทษจำคุก 8 เดือนได้หรือไม่?
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
สิทธิเรียกร้องไล่เบี้ยลูกจ้าง
ลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
ผู้มีส่วนได้เสียสิทธิเพิกถอนผู้จัดการมรดก
การคิดดอกเบี้ยผิดนัด-หนี้ที่ไม่ได้ระบุระยะเวลาชำระหนี้
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย
ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีของลูกจ้าง
อายุความสิทธิเรียกร้องมูลละเมิด
คำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง
หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา
ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด
ละเมิดอำนาจศาล-ทนายความเรียกค่าวิ่งเต้นคดี
ใบแต่งทนาย-ทนายความขอแรง
อำนาจสอบสวน ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
ความผิดฐานพรากเด็ก(ผู้เยาว์)อายุยังไม่เกิน 15 ปี
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ร้องขัดทรัพย์-ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
ขอให้ศาลสั่งปล่อยตัว-ควบคุมหรือขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
โอนที่ดินให้บุตรไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
พรากผู้เยาว์,กระทำชำเราเด็กหญิงไม่เกิน 15 ปี
มีเหตุสมควรให้รอการลงโทษ
นับอายุความละเมิดเรียกค่าเสียหาย
ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม-ผู้เสียหาย
สัญญาขายฝาก-การวางทรัพย์
การเข้ามอบตัวถือว่าจำเลยถูกจับแล้ว
ภาระจำยอมโดยอายุความ-ใช้ทางในลักษณะปรปักษ์
คำวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นที่สุด
อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
การใช้ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ
ฐานค่าจ้างในการคำนวณจ่ายค่าชดเชย
ข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ
คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อน
พิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้อง
เรียกค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย
หนี้ที่จะต้องรับผิดตามสัญญาจำนอง
ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ศาลสั่งริบ
ผู้ลงลายมือชื่อรับรองในตั๋วเงิน
คำสั่งยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ | อุทธรณ์คำสั่งยกคำร้อง
สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
รายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
ฎีกาไม่มีลายมือชื่อไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ค่าชดเชยการเลิกจ้างและดอกเบี้ย
สิทธิในการดำเนินคดีเป็นโจทก์ร่วม
การกระทำต่อเนื่อง-ความผิดฐานบุกรุก
ขอให้ศาลรวมโทษจำคุก,ความผิดหลายกรรม
ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบหรือไม่?
ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย 62 เม็ด โทษ 4 ปี 9 เดือน
ผลของการไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวัน
การประเมินภาษีเงินได้-อำนาจออกหมายเรียก
สิทธิแจ้งความร้องทุกข์ของผู้เสียหาย
กฎหมายยกเลิกความผิด-การใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำลย
สิทธิของผู้รับจำนอง-เจ้าหนี้บุริมสิทธิ
ไม่แจ้งสิทธิให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาทราบ
ใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน-ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์
การฟอกเงิน-ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
ตรวจค้น-จับกุมมิชอบด้วยกฎหมาย
นำสืบประกอบคำให้การรับสารภาพ
ลูกหนี้ร่วม-เจ้าหนี้ฟ้องให้ล้มละลายได้
ศาลไม่อาจลงโทษเกินไปกว่าที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง
บุตรบุญธรรม
เจ้าเพนักงานพิทักษ์ทรัพย์-สิทธิจัดการทรัพย์สินลูกหนี้