ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




บันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont                    

การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง

จำเลยมีและพาอาวุธปืนของกลางติดตัวไปในหมู่บ้าน และใช้อาวุธปืนกระบอกนั้นยิง ผู้ตาย 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงตามพยานว่าขณะที่ผู้ตายและจำเลยกับพวกตั้งวงดื่มสุรากันที่บ้าน นางยุพา จำเลยซึ่งเกี่ยวดองเป็นญาติผู้ใหญ่ของผู้ตายได้พูดตักเตือนผู้ตายว่าขับรถ จักรยานยนต์ในหมู่บ้านอย่าขับรถเร็วเกรงว่าจะชนเด็ก เป็นเหตุให้ผู้ตายไม่พอใจพูดโต้ตอบว่าเป็นรถของตนเองจะยังขับเร็ว กับได้พูดท้าทายจำเลยว่ามึงแก่แล้วอย่ามายุ่งกับกู หากแน่จริงให้ลุกขึ้นมา พร้อมกับลุกขึ้นยืน จำเลยจึงลุกขึ้นและชักอาวุธปืนออกมายิงใส่บริเวณหัวไหล่ของผู้ตายแล้วเดินลง จากบ้านนางยุพาที่เกิดเหตุไป ดังนี้ เห็นว่า กรณีที่จะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็น ธรรม และเหตุอันไม่เป็นธรรมนั้นต้องเป็นเรื่องร้ายแรง โดยต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปที่ อยู่ในภาวะวิสัยและพฤติการณ์อย่างเดียวกับผู้กระทำความผิด กล่าวคือจะถือเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวผู้กระทำความผิดเองเป็นเกณฑ์ในการ พิจารณาว่าร้ายแรงหรือไม่ไม่ได้ หากแต่จะต้องถือเอาตามความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์แห่งการพิจารณาว่าในสถานการณ์อย่างนั้นผู้กระทำความผิดถูกข่ม เหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ คดีนี้แม้จำเลยจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของผู้ตาย แต่การที่ผู้ตายถูกจำเลยกล่าวตักเตือนเรื่องขับรถจักรยานยนต์เร็วในหมู่บ้าน แล้วพูดโต้ตอบจำเลยว่าเป็นรถของตนเองจะยังคงขับเร็ว และพูดท้าทายจำเลยว่ามึงแก่แล้วอย่ามายุ่งกับกู หากแน่จริงให้ลุกขึ้นมา เช่นนี้ตามความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปจะถือได้ว่าผู้ตายได้พูด จาแสดงกิริยายโสโอหัง ไม่สมควรที่ผู้ตายจะกระทำอย่างนั้นต่อจำเลยซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ตาม แต่หาใช่ว่าผู้ตายได้กระทำการอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอัน ไม่เป็นธรรมไม่ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ทั้งนี้เพราะคุณธรรมทางกฎหมาย ที่ลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น กฎหมายจะยอมลดหย่อนโทษให้ก็แต่เฉพาะกรณีที่การกระทำความผิดของจำเลยนั้น ตามความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปเห็นว่าผู้ที่อยู่ในภาวะ วิสัย และพฤติการณ์อย่างเดียวกับจำเลยนั้นถือได้ว่าจำเลยผู้กระทำความผิดถูกข่ม เหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม

       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10/2549

กรณีที่จะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 นั้น ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็น ธรรมและเหตุอันไม่เป็นธรรมนั้นต้องเป็นเรื่องร้ายแรง โดยต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปที่ อยู่ในภาวะวิสัยและพฤติการณ์อย่างเดียวกับผู้กระทำความผิด จะถือเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวผู้กระทำความผิดเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าผู้ กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ไม่ได้ แม้จำเลยจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของผู้ตาย และพูดตักเตือนผู้ตายเรื่องการขับรถจักรยานยนต์ในหมู่บ้านว่าไม่ให้ขับเร็ว เพราะเกรงว่าจะชนเด็ก แล้วผู้ตายตอบว่าเป็นรถของผู้ตายเองจะยังคงขับเร็ว และพูดท้าทายจำเลยว่า มึงแก่แล้วอย่ามายุ่งกับกูหากแน่จริงให้ลุกขึ้นมา ซึ่งเป็นการแสดงกิริยายโสโอหัง ไม่สมควรที่จะกระทำต่อจำเลยซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ตาม แต่ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลย จึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4,7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ป.อ. มาตรา 32, 33, 91, 288, 371 และริบปลอกกระสุนปืนและพลาสติกหน้าอัดกระสุนปืนของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ป.อ. มาตรา 288, 371 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต (ที่ถูกโดยไม่มีเหตุอันสมควรด้วย) จำคุก 1 ปี ฐานฆ่าผู้อื่น ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ฐานความผิดละกึ่งหนึ่ง ตาม ป.อ. มาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นเปลี่ยนโทษเป็นจำคุก 50 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 53 แล้ว จำคุก 25 ปี รวมจำคุก 26 ปี 6 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนและพลาสติกหน้าอัดกระสุนปืนของกลาง

           จำเลยอุทธรณ์

           ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต (ที่ถูกโดยไม่มีเหตุอันสมควรด้วย) ให้จำคุก 6 เดือน รวมสองกระทง จำคุก 1 ปี 6 เดือน ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงจำคุก 25 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

           จำเลยฎีกา

           ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพ ของจำเลยรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยมีและพาอาวุธปืนของกลางติดตัวไปในหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบ อนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควร และใช้อาวุธปืนกระบอกนั้นยิงนายสมจิตร ผู้ตาย 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามฟ้อง จำเลยฎีกาในประเด็นแรกในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ จึงเข้าเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 222 ที่บัญญัติว่า "ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลัก ฐานในสำนวน" คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพว่า ขณะที่ผู้ตายและจำเลยกับพวกตั้งวงดื่มสุรากันที่บ้านนางยุพา จำเลยซึ่งเกี่ยวดองเป็นญาติผู้ใหญ่ของผู้ตายได้พูดตักเตือนผู้ตายว่าขับรถ จักรยานยนต์ในหมู่บ้านอย่าขับรถเร็วเกรงว่าจะชนเด็ก เป็นเหตุให้ผู้ตายไม่พอใจพูดโต้ตอบว่าเป็นรถของตนเองจะยังขับเร็ว กับได้พูดท้าทายจำเลยว่ามึงแก่แล้วอย่ามายุ่งกับกู หากแน่จริงให้ลุกขึ้นมา พร้อมกับลุกขึ้นยืน จำเลยจึงลุกขึ้นและชักอาวุธปืนออกมายิงใส่บริเวณหัวไหล่ของผู้ตายแล้วเดินลง จากบ้านนางยุพาที่เกิดเหตุไป ดังนี้ เห็นว่า กรณีที่จะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 นั้น ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็น ธรรม และเหตุอันไม่เป็นธรรมนั้นต้องเป็นเรื่องร้ายแรง โดยต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปที่ อยู่ในภาวะวิสัยและพฤติการณ์อย่างเดียวกับผู้กระทำความผิด กล่าวคือจะถือเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวผู้กระทำความผิดเองเป็นเกณฑ์ในการ พิจารณาว่าร้ายแรงหรือไม่ไม่ได้ หากแต่จะต้องถือเอาตามความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์แห่งการพิจารณาว่าในสถานการณ์อย่างนั้นผู้กระทำความผิดถูกข่ม เหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ คดีนี้แม้จำเลยจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของผู้ตาย แต่การที่ผู้ตายถูกจำเลยกล่าวตักเตือนเรื่องขับรถจักรยานยนต์เร็วในหมู่บ้าน แล้วพูดโต้ตอบจำเลยว่าเป็นรถของตนเองจะยังคงขับเร็ว และพูดท้าทายจำเลยว่ามึงแก่แล้วอย่ามายุ่งกับกู หากแน่จริงให้ลุกขึ้นมา เช่นนี้ตามความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปจะถือได้ว่าผู้ตายได้พูด จาแสดงกิริยายโสโอหัง ไม่สมควรที่ผู้ตายจะกระทำอย่างนั้นต่อจำเลยซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ตาม แต่หาใช่ว่าผู้ตายได้กระทำการอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอัน ไม่เป็นธรรมไม่ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุมากถึง 51 ปี แต่ผู้ตายเพิ่งมีอายุเพียง 35 ปี เท่านั้น ถือว่าเป็นรุ่นลูกหลานซึ่งจะต้องให้ความนับถือจำเลยซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่และ เป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน แต่ผู้ตายกลับพูดจาลบหลู่ดูหมิ่นจำเลยและท้าทายชวนวิวาทด้วย จึงเป็นการดูหมิ่นญาติผู้ใหญ่ด้วยกิริยาท่าทางอย่างร้ายแรงทำให้จำเลยไม่ อาจอดกลั้นโทสะไว้ได้นั้น เท่ากับว่าจำเลยถือเอาความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าการ กระทำของผู้ตายเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งหาใช่เจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ ทั้งนี้เพราะคุณธรรมทางกฎหมายของ ป.อ. มาตรา 72 ที่ลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น กฎหมายจะยอมลดหย่อนโทษให้ก็แต่เฉพาะกรณีที่การกระทำความผิดของจำเลยนั้น ตามความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปเห็นว่าผู้ที่อยู่ในภาวะ วิสัย และพฤติการณ์อย่างเดียวกับจำเลยนั้นถือได้ว่าจำเลยผู้กระทำความผิดถูกข่ม เหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ หาใช่ถือเอาตามความรู้สึกนึกคิดของตัวจำเลยผู้กระทำความผิดเอง ดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น?

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 ให้จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุก 9 เดือน ในความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามคำพิพากษาศาล อุทธรณ์ภาค 5 แล้วเป็นจำคุก 7 ปี 15 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5.
     ( ธานิศ เกศวพิทักษ์ - วิชัย วิวิตเสวี - พิทักษ์ คงจันทร์ )

ประมวลกฎหมายอาญา
    มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ อันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะ ลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใด ก็ได้
     มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

 

 คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก

จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาททุกคน เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปี

อายุความคดีมรดก กับอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก

ในกรณีที่เจ้ามรดก ขณะถึงแก่ความตายไม่มีคู่สมรสและบุตร บิดามารดาถึงแก่ความตายไปแล้วมรดกจึงตกได้แก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน มีปัญหาว่าถ้าพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเสียชีวิตก่อนเจ้ามรดกแล้วส่วนของพี่น้องที่ตายก่อนเจ้ามรดกจะตกได้แก่ผู้ใด?

 

  




คำพิพากษาคดีอาญา

รับผู้เยาว์จากโรงเรียนมีเพศสัมพันธ์ในรถยนต์จำคุก 14ปี
ทำบันทึกการยืมทรัพย์มอบให้ไปขายไม่เป็นยักยอกทรัพย์ โทร0859604258
ค่าตอบแทนการวิ่งเต้นการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับ-ตำรวจ
ความผิดฐานเป็น"ตัวการ" ร่วมกันกระทำความผิด-ผู้สนับสนุน
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้อาวุธ
เดินทางมาด้วยกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องกระทำความผิดร่วมกันเสมอไป
ครูอัตราจ้างพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีจำคุก 32 ปี
ผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังแต่ไม่ผิดฐานค้ามนุษย์
นำหนังสือมอบอำนาจเปล่าเซ็นชื่อไปกรอกข้อความโอนขายที่ดิน
โกรธไม่ยอมคืนดีด้วยใส่ยาเบื่อหนูในโอ่งน้ำไม่ตายเป็นพยายามฆ่า
สำนักงานปฏิรูปฯเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01
การสมรสตามหลักกฎหมายอิสลาม
นำอาวุธติดตัว, ระหว่างเดินทางย่อมคิดทบทวน
เช็คประกันหนี้ผู้ออกเช็คไม่ติดคุก
ลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว
อ้างเหตุป้องกันตัวไม่ได้
ทำร้ายร่างกายกับการป้องกันตัว
พรากเด็กหญิงไปเสียจากผู้ดูแลเพื่ออนาจาร
คดีรอการกำหนดโทษจำเลยมิใช่ผู้ต้องโทษตาม-พรบ.ล้างมลทิน
ให้การรับสารภาพรอการลงโทษจำคุก
ลักทรัพย์ที่เป็นของผู้มีอาชีพกสิกรรมโทษหนักขึ้น
คำขอในส่วนแพ่งเนื่องความผิดอาญา
วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกา
เบิกความอันเป็นเท็จในศาล
ลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
ความผิดนอกราชอาณาจักร
คำว่า-วิชาชีพ-ในคดีอาญา
บันดาลโทสะหรือพยายามฆ่า
เบิกความอันเป็นเท็จ
ศาลฎีกาไม่อาจกำหนดโทษจำเลยเพิ่มเติมได้
ลักบัตรเครดิตและใช้เอกสารปลอม
สเปรย์พริกไทยไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
เป็นการใช้อำนาจของครูต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นศิษย์