
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้อาวุธ
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความ (นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ) โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้อาวุธ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 27 ปี 8 เดือนและปรับ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นคุกจำเลย มีกำหนด 27 ปีและปรับ จำเลยฎีกาว่า ขณะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จำเลยเพียงนำอาวุธมีดออกมาวางไว้ข้างตัวจำเลยเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธ ศาลฎีกาเห็นว่าขณะกระทำชำเราจำเลยวางอาวุธมีดดังกล่าวไว้ข้างตัวใกล้มือจำเลย ซึ่งพร้อมที่จะหยิบฉวยได้ทันทีย่อมทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเด็กหญิงเกิดความกลัวว่าจะถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีดนั้นจึงไม่กล้าขัดขืน จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้อาวุธ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6905/2562 จำเลยพกพาอาวุธมีดขนาดใหญ่บุกรุกเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ในห้องนอน โดยขณะกระทำชำเราจำเลยวางอาวุธมีดไว้ข้างตัวใกล้มือจำเลย ซึ่งพร้อมจะหยิบฉวยได้ทันที พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเด็กหญิงเกิดความกลัวว่าจะถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีดนั้นจึงไม่กล้าขัดขืน ถือได้ว่าเป็นการใช้อาวุธมีดข่มขู่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 92, 93, 277, 335, 362, 364, 365, 371 เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งและหนึ่งในสามตามกฎหมาย กับให้จำเลยคืนเงิน 20,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่, 335 (8) วรรคแรก, 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 362 และมาตรา 364, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท ฐานบุกรุกโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และในเวลากลางคืน จำคุก 1 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้อาวุธ จำคุกตลอดชีวิต ฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานบุกรุกโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และในเวลากลางคืน เป็นจำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน เป็นจำคุก 4 ปี ส่วนความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้อาวุธ เมื่อศาลวางโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษได้อีก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 และฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นความผิดลหุโทษ จึงไม่อาจเพิ่มโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 94 จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร คงปรับ 500 บาท ฐานบุกรุกโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และในเวลากลางคืน คงจำคุก 8 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้อาวุธ คงจำคุก 25 ปี ฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุก 27 ปี 8 เดือน และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 29/1, 30 กับให้จำเลยคืนเงิน 20,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่, 335 (7) (8) วรรคสอง, 364, 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 362, 371 สำหรับความผิดฐานบุกรุกโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และในเวลากลางคืน และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้อาวุธ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้อาวุธ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวมทุกกระทงความผิดแล้วคงจำคุกจำเลย มีกำหนด 27 ปี และปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยโดยมีอาวุธมีดติดตัวบุกรุกเข้าไปในบ้านของนาย ส. ผู้เสียหายที่ 1 แล้วข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง จ. ผู้เสียหายที่ 2 บุตรผู้เสียหายที่ 1 ขณะที่ผู้เสียหายที่ 2 นอนอยู่ในห้องนอนในบ้านดังกล่าว จากนั้นจำเลยได้ลักเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง และเงิน 20,000 บาท ของผู้เสียหายที่ 1 หลบหนีไป คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยว่า จำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธมีดอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่หรือไม่ ประเด็นข้อนี้จำเลยฎีกาว่า ขณะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จำเลยเพียงนำอาวุธมีดออกมาวางไว้ข้างตัวจำเลยเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธ เห็นว่า จำเลยพกพาอาวุธมีดขนาดใหญ่บุกรุกเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ในห้องนอน โดยขณะกระทำชำเราจำเลยวางอาวุธมีดดังกล่าวไว้ข้างตัวใกล้มือจำเลย ซึ่งพร้อมที่จะหยิบฉวยได้ทันที พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเด็กหญิงเกิดความกลัวว่าจะถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีดนั้นจึงไม่กล้าขัดขืน ถือได้ว่าเป็นการใช้อาวุธมีดข่มขู่ผู้เสียหายที่ 2 ตามที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 และให้ใช้ความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 พิพากษายืน ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา ป.อ. ม. 277 วรรคสี่ แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
สามีบังคับภริยาให้ยอมร่วมประเวณีโดยใช้มีดขู่อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ โจทก์ไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี หากไม่ยอมร่วมประเวณีด้วย จำเลยก็ถือมีดและขู่ฆ่าจนโจทก์ต้องยอมร่วมประเวณีกับจำเลย การร่วมประเวณีย่อมเกิดจากความรักและความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย |