ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ทำที่จอดรถในทางภาระจำยอม

ทนายความบริษัทสำนักงานพีศิริ ทนายความ จำกัด  

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายโทร.  085-9604258 (ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ)

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางemail:  leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3)  peesirilaw  หรือ (4) @peesirilaw   (5)   @leenont1

ทำที่จอดรถในทางภาระจำยอม

ที่ดินของโจทก์จดทะเบียนภาระจำยอมให้เป็นทางเดินให้จำเลยใช้เป็นทางเข้าออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่จำเลยได้ก่อสร้างหลังคา ชั้นวางของ นำวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่าย ทำที่จอดรถในทางภาระจำยอม จำเลยอ้างว่ามีอาชีพค้าวัสดุก่อสร้าง ได้นำเอาวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางภาระจำยอม ตั้งแต่ปี 2529 บิดามารดาโจทก์ มิได้คัดค้านหรือห้ามมิให้กระทำ ศาลเห็นว่าที่ดินของโจทก์ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยในเรื่องทางเดิน โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะไปหวงห้ามมิให้เดินผ่าน แต่จำเลยนำวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางภาระจำยอมทำให้โจทก์และประชาชนอื่นไม่สามารถเดินผ่านทางภาระจำยอมไปได้อย่างสะดวก การกระทำของจำเลยเป็นการก่อภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  851/2552
 
          จำเลยเพียงต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า โจทก์เป็นเพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับบุคคลอื่น และฟ้องคดีโดยไม่ได้รับมอบอำนาจหรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นเท่านั้น ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์แบ่งแยกมาจากตราจองเลขที่ 22 แล้วตราจองเลขที่ 22 ได้มีการแบ่งแยกในนามเดิมและแบ่งหักเป็นสาธารณประโยชน์อีก จึงมีปัญหาว่าทางภาระจำยอมที่พิพาทกันอยู่ในเขตโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์หรือไม่ และทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าหลักฐานแน่ชัดว่าทางภาระจำยอมที่พิพาทอยู่ในโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นเรื่องนอกประเด็น และเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น

          ตามบันทึกข้อตกลงเรื่องภาระจำยอมระบุไว้ว่า ที่ดินของโจทก์ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยในเรื่องทางเดินซึ่งหมายความว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิใช้ทางภาระจำยอมซึ่งเป็นทางเท้าติดกับตึกแถวของจำเลยเดินผ่านหรือเดินเข้าออกไปยังถนนสาธารณะหรือที่อื่นใดก็ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะไปหวงห้ามมิให้เดินผ่าน เมื่อจำเลยนำวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางภาระจำยอม ก่อสร้างกันสาดหลังคาอะลูมิเนียมเป็นการถาวร นำชั้นมาวางของขายและนำรถยนต์มาจอดบนทางเท้าและทำประตูเปิดปิด ทำให้โจทก์และประชาชนอื่นไม่สามารถเดินผ่านทางภาระจำยอมไปได้โดยสะดวก การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์เป็นการก่อภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1388 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่อยู่บนทางภาระจำยอมออกไป
          ศาสชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์และต้องรื้อถอนออกไปตามฟ้องหรือไม่ จึงรวมถึงการที่จำเลยนำสิ่งของวัสดุก่อสร้างมาวางไว้บนทางภาระจำยอมและจะต้องขนย้ายออกไปด้วย
 
มาตรา 1388  เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์

 
          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 183 โดยแบ่งแยกมาจากที่ดินตราจองเลขที่ 22 ซึ่งได้จดทะเบียนภาระจำยอมเป็นทางเดินให้แก่ที่ดินของจำเลย จำเลยได้ปลูกสร้างหลังคา ชั้นวางของ และนำเอาสินค้าต่าง ๆ มาวางบนทางเดินภาระยอมซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์อันเป็นการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์และทำให้ที่ดินของโจทก์อยู่ในสภาพเรียบร้อยกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์

          จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 183 ตำบลวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ส่วนหลังคาอะลูมิเนียมที่จำเลยก่อสร้างไว้บนทางภาระจำยอมไม่ปรากฏว่ามีผลกระทบ หรือทำให้เสื่อมประโยชน์แก่ทางภาระจำยอมอย่างใด จึงให้คงไว้อย่างเดิมไม่ต้องรื้อถอนออกไปกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน และให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 1,500 บาท

          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 183 ตำบลวัดสิงห์ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท โดยถือกรรมสิทธิ์รวมกับบุคคลอื่น ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวได้แบ่งแยกมาจากที่ดินตราจองเลขที่ 22 ซึ่งเดิมได้มีการจดทะเบียนตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินตราจองเลขที่ 146, 147, 151 และ 153 ของจำเลย เมื่อที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินตราจองเลขที่ 22 จึงต้องรับภาระจำยอมดังกล่าวติดมาด้วย
          คดีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประเด็นแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์แบ่งแยกมาจากตราจองเลขที่ 22 แล้วตราจองเลขที่ 22 ได้มีการแบ่งแยกในนามเดิมและแบ่งหักเป็นสาธารณประโยชน์อีก จึงมีปัญหาว่าทางภาระจำยอมที่พิพาทกันอยู่ในเขตโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์หรือไม่ และทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าทางภาระจำยอมที่พิพาทอยู่ในโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ จำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จำเลยเพียงต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าโจทก์เป็นเพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับบุคคลอื่น และฟ้องคดีได้โดยไม่ได้รับมอบอำนาจหรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นเท่านั้น ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นเรื่องนอกประเด็น และเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

          ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประเด็นต่อมามีว่า จำเลยทำให้เกิดภาระเพิ่มมากขึ้นแก่ภารยทรัพย์และต้องรื้อถอนออกไปตามฟ้องหรือไม่ ข้อนี้โจทก์นำสืบว่าที่ดินของโจทก์จดทะเบียนภาระจำยอมให้เป็นทางเดินให้จำเลยใช้เป็นทางเข้าออกจากตึกแถวของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อปี 2538 จำเลยได้ก่อสร้างหลังคา ชั้นวางของ นำวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่าย ทำที่จอดรถในทางภาระจำยอม และนำแป๊บน้ำมาทำเป็นประตูปิดกั้น สิ่งของและสิ่งก่อสร้างของจำเลยดังกล่าวกีดขวางและทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ทางภาระจำยอม จำเลยก็นำสืบว่า จำเลยมีอาชีพค้าวัสดุก่อสร้าง ได้นำเอาวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางภาระจำยอม ตั้งแต่ปี 2529 ต่อมาปี 2530 จำเลยได้สร้างกันสาดผ้าใบโดยใช้เหล็กค้ำยันกับผนังตึก ปี 2537 จำเลยได้ก่อสร้างเป็นกันสาดถาวรหลังคาอะลูมิเนียม ที่จำเลยนำวัสดุก่อสร้างมาวางบนทางภาระจำยอม และก่อสร้างหลังคาอะลูมิเนียมดังกล่าว นายประยงค์และนางถนอมนวล บิดามารดาโจทก์ มิได้คัดค้านหรือห้ามมิให้กระทำแต่อย่างใดจำเลยมีอาชีพค้าวัสดุก่อสร้าง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางเท้าบ้าง จึงเป็นข้อผูกพันที่โจทก์จำต้องยอมรับต่อจากบิดามารดาด้วยเห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงเรื่องภาระจำยอมได้ระบุว่า ที่ดินของโจทก์ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยในเรื่องทางเดินซึ่งหมายความว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิใช้ทางภาระจำยอมซึ่งเป็นทางเท้าติดกับตึกแถวของจำเลยเดินผ่านหรือเดินเข้าออกไปยังถนนสาธารณะหรือที่อื่นใดได้ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะไปหวงห้ามมิให้เดินผ่าน เมื่อจำเลยนำวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางภาระจำยอม ก่อสร้างกันสาดหลังคาอะลูมิเนียมเป็นการถาวร นำชั้นมาวางของขายและนำรถยนต์มาจอดบนทางเท้าและทำประตูเปิดปิด ทำให้โจทก์และประชาชนอื่นไม่สามารถเดินผ่านทางภาระจำยอมไปได้อย่างสะดวก การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์เป็นการก่อภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่อยู่บนทางภาระจำยอมออกไป ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยขนย้ายเฉพาะวัสดุก่อสร้างที่นำมาวางบนทางภาระจำยอมออกไปโดยไม่ต้องรื้อหลังคากันสาดอะลูมิเนียมที่จำเลยก่อสร้างไว้นั้นนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า บันทึกข้อตกลงเรื่องภาระจำยอมนั้น เป็นแบบฟอร์มสำเร็จรูปที่เจ้าพนักงานที่ดินทำไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเฉพาะเรื่องทางเดินไม่ครอบคลุมถึงเจตนาของคู่สัญญาทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากบันทึกข้อตกลงก็จะไม่ระบุไว้นั้น เห็นว่า เป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง เพราะหากจำเลยกับมารดาโจทก์มีข้อตกลงให้นำวัสดุสิ่งของมาวางจำหน่ายบนทางเท้าได้ หรือให้ที่จอดรถได้ หากแจ้งต่อเจ้าพนักงานให้ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงด้วย ก็เชื่อว่าพนักงานคงจะระบุไว้ให้เมื่อตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิได้ระบุไว้ จึงต้องตีความไปตามลายลักษณ์อักษรที่ระบุไว้ซึ่งในเรื่องดังกล่าวหากจำเลยนำสิ่งของก่อสร้างวัสดุมาวางจำหน่ายบนทางภาระจำยอมตามสมควรแก่ความจำเป็น ก็เชื่อว่าโจทก์คงจะไม่หวงห้ามทักท้วงดังที่ได้ปล่อยให้กระทำมาเป็นเวลาหลายปี แต่ต่อมาเมื่อจำเลยนำชั้นวางของและนำสิ่งของวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางเท้าในปริมาณมาก ทั้งยังมีการนำกระถางต้นไม้มาทำเป็นแนวและสร้างที่จอดรถยนต์อีก ทำให้โจทก์และประชาชนที่จำเป็นจะต้องเดินผ่านทางภาระจำยอมได้รับความไม่สะดวก โจทก์จึงจำต้องดำเนินคดีแก่จำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า ศาลชั้นต้นพิพากษานอกประเด็นหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาอ้างว่า ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ประเด็นเดียวว่า จำเลยได้ก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์โดยการสร้างสิ่งปลูกสร้างลงในภารยทรัพย์หรือไม่เท่านั้น ประเด็นเรื่องทรัพย์สินที่นำมาวางจำหน่าย ศาลไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ และคู่ความไม่ได้โต้แย้ง ต้องถือว่าคู่ความสละประเด็นดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พิพาทให้ศาลวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อ 3 ไว้ว่าจำเลยทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์และต้องรื้อถอนออกไปตามฟ้องหรือไม่ มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์โดยการสร้างสิ่งปลูกสร้างลงในภารยทรัพย์หรือไม่ ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในข้อ 3 ว่า จำเลยทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์และต้องรื้อถอนออกไปตามฟ้องหรือไม่ จึงรวมถึงการนำสิ่งของวัสดุก่อสร้างมาวางไว้บนทางภาระจำยอมและจะต้องขนย้ายออกไปด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยขนย้ายวัสดุสิ่งของออกไปจากทางภาระจำยอมนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
          พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
 
 
( ณรงค์ ธนะปกรณ์ - ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช - สุรศักดิ์ กิตติพงษ์พัฒนา )
 
 

ขณะสู่ขอไม่มีการตกลงเรื่องจดทะเบียนสมรส

แจ้งความว่าหญิงคู่หมั้นหลอกลวงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย จัดงานแต่งใหญ่โต คู่หมั้นมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว การเลิกราเป็นที่อับอายแก่หญิงมากกว่า เวลาไปสู่ขอก็ไม่ได้ตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนสมรสกันเมื่อใด จึงถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดของหญิงคู่หมั้น เพราะคู่หมั้นไม่ได้ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่จะได้อยู่กินกันฉันสามีภริยาเท่านั้น ชายจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและเรียกสินสอดและของหมั้นคืนได้

ใช้ทางอย่างเป็นปรปักษ์กับใช้ทางเป็นการวิสาสะ

การใช้ทางแบบคุ้นเคยกันในลักษณะเพื่อนบ้านที่ต่างพื่งพาอาศัยกันและเป็นการได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดินแล้วแม้จะได้นำดินลูกรังและหินมาถมในทางพิพาทตลอดมาทุกปีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากใครก็ตาม ก็เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกของผู้ใช้ทางเท่านั้น พฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการถือวิสาสะในการใช้ทางไม่ใช่เป็นการแสดงเจตนาที่จะใช้ทางอย่างเป็นปรปักษ์ แม้จะได้ใช้ทางมานานเกิน 10 ปี ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของตนได้

ภาระจำยอมที่เกิดจากการจัดสรรที่ดินขาย

เจ้าของโครงการจัดสรรที่ดินได้กันทางเดินพิพาทไว้เป็นทางเข้าออกสำหรับตึกแถวที่แบ่งขายในการก่อสร้างตึกแถวเจ้าของโครงการได้ก่อสร้างตึกแถวทำกันสาดปูนซิเมนต์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินแปลงที่เป็นทางเดินยื่นออกไป 1.5 เมตรต่อมาเจ้าของโครงการถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย โจทก์ในคดีนี้ซื้อที่ดินทางเดินจากการขายทอดตลาดและฟ้องขับไล่ผู้ซื้อตึกแถวศาลฎีกาเห็นว่าทางเดินตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจัดสรรโดยผลของกฎหมายแล้วรวมถึงกันสาดที่ยื่นออกไปด้วย

การครอบครองปรปักษ์ขาดตอนเมื่อเปลี่ยนเจ้าของ

การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ถือเอาระยะเวลาครอบครองของฝ่ายผู้ครอบครองที่ต้องครอบครองติดต่อกัน ไม่ต้องพิจารณาถึงตัวเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกครอบครองว่าจะได้โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นหรือไม่ และไม่จำต้องถือเอาทางฝ่ายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์แต่ละคนที่รับโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นเกณฑ์ในการเริ่มนับระยะเวลาครอบครองใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตัวเจ้าของหากบุคคลภายนอกรับโอนโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต

เจ้าของที่ดินมีสิทธิสร้างแผงร้านค้าบนทางภาระจำยอมหรือไม่?

สภาพของที่ดินภาระจำยอมใช้เป็นเพียงทางเดินเท่านั้น รถยนต์ไม่สามารถเข้าออกได้เพราะมีขั้นบันไดลงไปสู่ถนนสาธารณะ การที่เจ้าของที่ดินสร้างแผงร้านค้าโดยเว้นทางเท้าไว้ถึง 2.50 เมตร จึงไม่ทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกหรือไม่? ศาลเห็นว่าทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของผู้อื่นนั้นเป็นทางที่ใช้สัญจรอยู่ในโครงการหมู่บ้านและที่ดินจัดสรร ดังนั้น ไม่ว่ารถยนต์จะสามารถเข้าออกทางได้หรือไม่ก็ตาม
 

 




ครอบครองปรปักษ์/ภาระจำยอม/ทางจำเป็น

ทำการเปลี่ยนแปลงซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์
ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
จำเลยครอบครองที่ดินของโจทก์โดยสำคัญผิด
"ทางจำเป็น" จำกัดและริดรอนอำนาจกรรมสิทธิ์ที่ดินของบุคคลอื่น
นำที่ดินตกเป็นภาระจำยอมแล้วขายทอดตลาด
สาธารณูปโภคที่จัดให้มีขึ้นตกอยู่ในภาระจำยอม
อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไป
การครอบครองปรปักษ์สิ้นสุดเมื่อโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่?
เจ้าของใหม่รับโอนมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน
สาธารณูปโภคที่ดินแบ่งขายเป็นภาระจำยอม
พฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการถือวิสาสะในการใช้ทาง
ให้ใช้ทางเอื้ออารีเป็นการถือวิสาสะคุ้นเคยกัน
ภาระจำยอมหมดประโยชน์หรือไม่?
ใช้ทาง 50 ปีก็ไม่ได้สิทธิภาระจำยอม
คนต่างด้าวครอบครองปรปักษ์ห้องชุด
โจทก์ไม่มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็น