
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความ นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258
-ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th
-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line :
(1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont
โจทก์โทรศัพท์แจ้งพ่อตาให้มารับตัวไป-โจทก์จึงอ้างจงใจละทิ้งร้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้
สามีฟ้องหย่าภริยาอ้างเหตุจงใจละทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากันอีก ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง เป็นการทรมานร่างกายและจิตใจของสามี ทำให้สามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ขอให้พิพากษาให้หย่ากัน สามีขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว ให้แบ่งสินสมรสคนละกึ่งหนึ่ง ภริยาต่อสู้ให้การว่า ภริยาย้ายออกจากบ้านพักซึ่งเป็นแฟลตตำรวจไปอยู่บ้านที่อำเภอน้ำปาดเนื่องจากสามีบอกให้ย้ายไป โดยสามียังโทรศัพท์แจ้งบิดาของภริยา (พ่อตา) ให้มารับตัวไป ทั้งบ้านที่อำเภอน้ำปาดก็เป็นที่ดินและบ้านอันเป็นสินสมรสร่วมกัน จึงไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งร้างจึงอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4480/2553
จำเลยซึ่งเป็นภริยาย้ายออกจากบ้านพักของโจทก์ซึ่งเป็นแฟลตตำรวจไปอยู่บ้านที่อำเภอน้ำปาดเนื่องจากโจทก์บอกให้ย้ายไป โดยโจทก์โทรศัพท์แจ้งบิดาจำเลยให้มารับจำเลยไป ทั้งบ้านที่อำเภอน้ำปาดก็เป็นที่ดินของโจทก์และจำเลยอันเป็นสินสมรสร่วมกัน การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งร้างโจทก์ โจทก์จึงอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้
มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
(ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
(ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2530 มีบุตรผู้เยาว์ 2 คน คือ นายศุภภักดิ์ และเด็กหญิงภักดิ์กมล มีสินสมรส 5 รายการ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3, 4, 5, 6 และ 7 รวมเป็นเงิน 1,130,000 บาท มีสินส่วนตัวของโจทก์ คือ พระเลี่ยมทอง (พระพุทธโกสัย) ราคา 20,000 บาท ที่จำเลยนำไปสวมใส่ มีหนี้ระหว่างสมรสเป็นเงิน 980,000 บาท โจทก์รับราชการเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย เป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงดูครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว เป็นเหตุให้จำเลยหาเรื่องด่าว่าทะเลาะกับโจทก์เกี่ยวกับเรื่องเงินไม่พอใช้จ่ายในครอบครัวถึงขั้นตบตีกันเป็นประจำ ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2547 จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์จากบ้านเลขที่ 308 ถนนศรีพนมมาศ ตำบลศรีพนมมาศ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ไปเกิน 1 ปี ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 72/4 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ จนถึงปัจจุบันโจทก์และจำเลยไม่ได้ติดต่อหรือมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากันอีก การกระทำของจำเลยเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง เป็นการทรมานร่างกายและจิตใจของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่ากัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว ให้แบ่งสินสมรสคนละกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 565,000 บาท หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน ให้จำเลยชดใช้หนี้ระหว่างสมรสกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 490,000 บาท และให้จำเลยส่งมอบพระเลี่ยมทอง (พระพุทธโกสัย) คืนแก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งคืนได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 20,000 บาท
จำเลยให้การว่า หลังจดทะเบียนสมรสกันแล้ว โจทก์จำเลยและบุตรผู้เยาว์ทั้งสองพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านเลขที่ 72/9 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อโจทก์ย้ายไปรับราชการที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำเลยและบุตรผู้เยาว์ยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าวตลอดมา จำเลยไม่ได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปตามฟ้อง พระเลี่ยมทอง (พระพุทธโกสัย) เป็นของหมั้นจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย จำเลยไม่ได้ประพฤติเสื่อมเสียอันเป็นเหตุให้ถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของจำเลยแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ให้โจทก์เป็นผู้ชดใช้หนี้สินระหว่างสมรสแต่เพียงผู้เดียว สินสมรส คือ รถจัรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนดาสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กบธ อุตรดิตถ์ 851 ยกให้นายศุภภักดี รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนดา สีดำ หมายเลขทะเบียน อุตรดิตถ์ ฉ 2881 ยกให้เด็กหญิงภักดิ์กมล บ้านเลขที่ 72/4 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และบ้านเลขที่ 11/1 หมู่ที่ 4 ตำบลแม้จั๊วะ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ยกให้นายศุภภักดิ์ และเด็กหญิงภักดิ์กมล คนละกึ่งหนึ่ง ให้โจทก์และจำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองร่วมกัน และให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูนายศุภภักดิ์เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท เด็กหญิงภักดิ์กมลเดือนละ 3,000 บาท จนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขออื่นเสียด้วย (คือ ยกคำขอที่ให้โจทก์และจำเลยหย่ากันและยกคำขอที่ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว) ไม่แบ่งสินสมรสและไม่ให้โจทก์ชดใช้หนี้ระหว่างสมรสเพียงผู้เดียวตามข้อตกลงของโจทก์จำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีตามที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยเพราะจำเลยทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี หรือไม่ เห็นว่า โจทก์จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงรับกันว่า ในขณะเกิดเหตุโจทก์กับจำเลยทะเลาะกันรุนแรงจนถึงขนาดโจทก์ตบตีจำเลยและจำเลยย้ายออกจากบ้านพักของโจทก์ที่เป็นแฟลตตำรวจ ตั้งอยู่ถนนศรีพนมมาศ ตำบลศรีพนมมาศ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ไปอยู่ที่บ้านตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยจำเลยพาเด็กหญิงภักดิ์กมล บุตรสาวของโจทก์และจำเลยไปอยู่ด้วย จนเป็นเหตุให้โจทก์อ้างเป็นเหตุหาว่าจำเลยละทิ้งร้างโจทก์เป็นคดีนั้น โจทก์จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงรับกันด้วยว่า การที่จำเลยย้ายออกจากบ้านพักแฟลตตำรวจไปอยู่ที่บ้านที่อำเภอน้ำปาดเป็นเพราะโจทก์บอกให้ย้ายไป โดยโจทก์โทรศัพท์แจ้งบิดาจำเลยให้มารับจำเลยไปและบ้านที่อำเภอน้ำปาดดังกล่าวนั้น ก็เป็นบ้านที่เป็นของโจทก์และจำเลยอันเป็นสินสมรสร่วมกัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งร้างโจทก์ โจทก์จึงอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( พิศาล อัยยะวรากูล - สิริรัตน์ จันทรา - สมชาย พันธุมะโอภาส )
ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องเนื่องจากผู้ร้องได้ไปติดต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา (ขอวีซ่า) ให้กับบุตรผู้เยาว์ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผู้ร้องจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวเสียก่อน ผู้ร้องจึงจะสามารถพาบุตรผู้เยาว์ เดินทางออกนอกประเทศไทย และสามารถดำเนินการผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้ผู้ร้องมาดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลนี้ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวของเด็กหญิง เอ บุตรผู้เยาว์ เสียก่อนจึงจะดำเนินการให้ได้
ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก
การขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อเจ้ามรดกตาย ทรัพย์สมบัติของเจ้ามรดก ตกเป็นของทายาททันที และก็ยังรวมถึงหนี้สินด้วย ความรับผิดก็ตกทอดมาถึงทายาทเหมือนกัน แต่ก็รับผิดในฐานะเป็นทายาทเท่านั้นไม่ใช้ฐานะส่วนตัว แม้ว่ากองมรดกจะตกทอดแก่ทายาทแล้วก็ตาม ก็อาจมีปัญหาขัดข้องในการจัดสรรแบ่งปันมรดก หรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่ หรือจะไปโอนที่ดินเป็นของตน เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้ ลูกหนี้เจ้ามรดกไม่ยอมชำระหนี้ ธนาคารไม่ยอมให้เบิกเงินของผู้ตาย โดยต้องนำเอาคำสั่งศาลตั้งผู้นั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาให้ดูมาแสดงเสียก่อนว่าผู้มาติดต่อนั้นศาลได้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วมิฉะนั้นไม่ดำเนินการให้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทายาทจะต้องไปดำเนินการขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็จะเสียเวลาพอสมควรกว่าจะยื่นคำร้องขอและกว่าจะไต่สวนคำร้องและศาลมีคำสั่ง