ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด เขตอำนาจศาล

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความ นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont              

 

ทำร้ายร่างกายและขับไล่ออกจากบ้านเป็นเหตุฟ้องหย่าได้

จำเลยได้กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โดยทำร้ายร่างกายโจทก์และขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน อันเป็นเหตุฟ้องหย่า เมื่อโจทก์จำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ดังนั้นจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงเป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4443/2546

คำว่า "มูลคดีเกิด" ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1)หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาของคำฟ้อง โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย ต้นเหตุของคำฟ้องคือเหตุหย่า ส่วนการจดทะเบียนสมรสเป็นต้นเหตุของความเป็นสามีภริยากัน สถานที่จดทะเบียนสมรสจึงมิใช่เป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด เมื่อโจทก์จำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยได้กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โดยทำร้ายร่างกายโจทก์และขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน อันเป็นเหตุฟ้องหย่า จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงเป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาจำเลยโดยจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายที่สำนักทะเบียนอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และอยู่กินกันที่บ้านเลขที่ 256/2 หมู่ที่ 6ตำบลเขาพระทอง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช จนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน ปัจจุบันอายุ 5 ขวบ ระหว่างอยู่กินด้วยกัน จำเลยกระทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาโดยทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นประจำและขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน จนโจทก์ไม่อาจทนอยู่กินเป็นภริยาจำเลยได้อีกต่อไป จึงขอศาลพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยและขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว

ชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องว่า คดีนี้ภูมิลำเนาของจำเลยและมูลคดีอันเป็นเหตุที่โจทก์อ้างเพื่อขอหย่าอยู่นอกเขตอำนาจของศาลพัทลุง จึงให้คืนฟ้องโจทก์ไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "เห็นว่า การที่โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลใดต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) คือ เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ ซึ่งคำว่า "มูลคดีเกิด" ย่อมหมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาของคำฟ้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องหย่าจากจำเลย ต้นเหตุของคำฟ้องคือเหตุหย่า ส่วนการจดทะเบียนสมรสเป็นต้นเหตุของความเป็นสามีภริยากัน สถานที่จดทะเบียนสมรสจึงมิใช่เป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิดตามที่โจทก์อ้างมาในฎีกาแต่อย่างใดไม่เมื่อปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ได้ความว่าในระหว่างสมรสโจทก์จำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยได้กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โดยทำร้ายร่างกายโจทก์และขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน อันเป็นเหตุฟ้องหย่า ฉะนั้นจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงเป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด ทั้งปรากฏตามคำฟ้องว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ศาลจังหวัดพัทลุงตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลจังหวัดพัทลุงไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณานั้นชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ต่อศาลฎีกาจึงฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ"

( เกรียงชัย จึงจตุรพิธ - วิชัย วิวิตเสวี - สำรวจ อุดมทวี )

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

 มาตรา 4 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น
(1) คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ใน ราชอาณาจักรหรือไม่
(2) คำร้องขอ ให้เสนอต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือ ต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล"

 

 ฟ้องหย่านอกเขตอำนาจศาลโดยไม่ได้ขออนุญาตฟ้อง

โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างมีภูมิลำเนาอยู่ตำบลมีนบุรี อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร ประกอบอาชีพค้าไม้ ในการติดต่อค้าขายโจทก์ไปพักที่บ้านนายผ่องบางครั้งจำเลยที่ 1 ไปพักอยู่ด้วย ต่อมาโจทก์ถูกจำคุก พ้นโทษแล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำชู้กับจำเลยที่ 2 ที่บ้านนายผ่อง โจทก์ขอหย่า จำเลยที่ 1 ไม่ยอมหย่าแต่ตกลงแยกกันอยู่โดยจำเลยที่ 1 กลับไปอยู่บ้านเดิมของจำเลยที่ 1 คงไปมาเกี่ยวกับการค้าที่ตำบลเด่นชัย  โจทก์และจำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนาถือเอาบ้านนายผ่องที่ตำบลเด่นชัยเป็นถิ่นที่อยู่หาไม่ หากแต่ไปพักอยู่เป็นครั้งคราว เมื่อไปติดต่อซื้อไม้เท่านั้น บ้านของนายผ่องจึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดแพร่ โดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลจังหวัดแพร่ โดยอ้างว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นเมื่อฟังว่า จำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดแพร่ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดแพร่ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  373/2518

 โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยา มีภูมิลำเนาอยู่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่ไปติดต่อค้าขายซื้อสินค้าจาก ผ. ที่จังหวัดแพร่ ในการไปซื้อสินค้านี้โจทก์พักอยู่ที่บ้าน ผ. บางครั้งจำเลยที่ 1ไปพักด้วย ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีชู้และแยกกันอยู่ โดยจำเลยที่ 1 กลับไปอยู่ที่บ้านเดิมที่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่คงไปมาเกี่ยวกับการค้าที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่บ้านญาติของโจทก์บ้าง ที่บ้าน ว. บ้าง ดังนี้แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนาที่จะถือเอาบ้านที่พักอยู่ที่จังหวัดแพร่เป็นถิ่นที่อยู่ไม่

           โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดีโดยมิได้ขออนุญาตฟ้องต่อศาลนั้นไม่ได้

           โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยโดยระบุตามคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดี เมื่อจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาล โดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาล ดังนี้ การที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน โดยมีคำสั่งคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นว่าจะได้ชี้ขาดในปัญหาดังกล่าวในคำพิพากษาจึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีแต่ประการใดหากแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใดซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นกระแสความก่อนมีคำสั่ง

 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์มีชู้โดยร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับโจทก์หย่ากัน และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทดแทน พร้อมกับดอกเบี้ยแก่โจทก์


          จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ


          จำเลยที่ 2 ให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยไม่เคยเป็นชู้ร่วมประเวณีกัน ค่าทดแทนที่เรียกร้องมากเกินไป หากโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลพิพากษาให้หย่ากันโดยภริยามีชู้โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ


          ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลโดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาล โจทก์แถลงยืนยันว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดแพร่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวในคำพิพากษาและดำเนินการสืบพยานต่อมาจนเสร็จสำนวน แล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตจังหวัดแพร่ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง


          โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน


          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างมีภูมิลำเนาอยู่ตำบลมีนบุรี อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร ประกอบอาชีพค้าไม้แปรรูปกับโต๊ะเก้าอี้นักเรียน โดยติดต่อซื้อสินค้าดังกล่าวจากนายผ่อง จารเขียน คนตำบลเด่นชัยจังหวัดแพร่ ในการติดต่อค้าขายกับนายผ่องนี้ โจทก์ไปพักที่บ้านนายผ่องบางครั้งจำเลยที่ 1 ไปพักอยู่ด้วย ต่อมาโจทก์ถูกจำคุกฐานมีไม้หวงห้ามไว้ในความครอบครอง พ้นโทษแล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำชู้กับจำเลยที่ 2 ที่บ้านนายผ่อง โจทก์ขอหย่า จำเลยที่ 1 ไม่ยอมหย่าแต่ตกลงแยกกันอยู่โดยจำเลยที่ 1 กลับไปอยู่บ้านเดิมของจำเลยที่ 1 คงไปมาเกี่ยวกับการค้าที่ตำบลเด่นชัยและพักที่บ้านญาติของโจทก์บ้าง บ้านนางหวันบ้าง


          ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนาถือเอาบ้านนายผ่องที่ตำบลเด่นชัยเป็นถิ่นที่อยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45ไม่ หากแต่ไปพักอยู่เป็นครั้งคราว เมื่อไปติดต่อซื้อไม้เท่านั้น บ้านของนายผ่องจึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดแพร่ โดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลจังหวัดแพร่ โดยอ้างว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นเมื่อฟังว่า จำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดแพร่ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดแพร่ไม่ได้


          การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน โดยมีคำสั่งคำร้องขอชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลว่า จะได้ชี้ขาดปัญหาดังกล่าวในคำพิพากษา จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีได้แต่ประการใด หากแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใด ซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นกระแสความก่อนมีคำสั่งการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลในคำพิพากษาแสดงว่า ศาลชั้นต้นมิได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ เพราะถ้าถือว่าการที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน เป็นการอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลโดยปริยายแล้ว ศาลชั้นต้นก็คงไม่ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาอีก
           พิพากษายืน

( สงวน สิทธิไชย - อุดม จาละ - ปรีชา สุมาวงศ์ )

 

 
 
ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว 

ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องเนื่องจากผู้ร้องได้ไปติดต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา (ขอวีซ่า) ให้กับบุตรผู้เยาว์ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผู้ร้องจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวเสียก่อน ผู้ร้องจึงจะสามารถพาบุตรผู้เยาว์ เดินทางออกนอกประเทศไทย และสามารถดำเนินการผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้ผู้ร้องมาดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลนี้ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวของเด็กหญิง เอ บุตรผู้เยาว์ เสียก่อนจึงจะดำเนินการให้ได้

 

ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก

การขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อเจ้ามรดกตาย  ทรัพย์สมบัติของเจ้ามรดก ตกเป็นของทายาททันที และก็ยังรวมถึงหนี้สินด้วย ความรับผิดก็ตกทอดมาถึงทายาทเหมือนกัน  แต่ก็รับผิดในฐานะเป็นทายาทเท่านั้นไม่ใช้ฐานะส่วนตัว แม้ว่ากองมรดกจะตกทอดแก่ทายาทแล้วก็ตาม  ก็อาจมีปัญหาขัดข้องในการจัดสรรแบ่งปันมรดก หรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่ หรือจะไปโอนที่ดินเป็นของตน เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้ ลูกหนี้เจ้ามรดกไม่ยอมชำระหนี้ ธนาคารไม่ยอมให้เบิกเงินของผู้ตาย โดยต้องนำเอาคำสั่งศาลตั้งผู้นั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาให้ดูมาแสดงเสียก่อนว่าผู้มาติดต่อนั้นศาลได้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วมิฉะนั้นไม่ดำเนินการให้  ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทายาทจะต้องไปดำเนินการขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็จะเสียเวลาพอสมควรกว่าจะยื่นคำร้องขอและกว่าจะไต่สวนคำร้องและศาลมีคำสั่ง 

 




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์
เรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น
ให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับมารดาได้รับความอบอุ่นมากกว่า
การอ้างเหตุหย่าต้องมีเหตุตามที่กฎหมายรับรอง
ฟ้องหย่าอ้างภริยานำบุตรไปอยู่กับบิดามารดาเป็นการแสดงเจตนาแยกกันอยู่
เหตุที่สามีกับภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ก็เนื่องจากสามีทำร้ายร่างกาย
จดทะเบียนสมรสแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันการสมรสยังสมบูรณ์
เงินเดือนเป็นเงินที่ได้มาระหว่างสมรสจึงเป็นเงินสินสมรส
ยกย่องหญิงฉันภริยาเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องไม่เริ่มนับอายุความ
สามีภริยาชอบด้วยกฎหมายไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับชายอื่นและหญิงอื่น
ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรศาลพิจารณาจากประเด็นใดบ้าง?
สิทธิฟ้องค่าเลี้ยงดูบุตรต้องฟ้องหย่าด้วยหรือไม่?
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่า ค่าอุปการะเลี้ยงดู
สมรสซ้อน-ผลกระทบต่อสิทธิของบุตร
ภริยาร้องเรียนผู้บังคับบัญชา
การหย่าโดยความยินยอม
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรส
ฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงชีพ ค่าทดแทน แบ่งสินสมรส
การจดทะเบียนหย่าด้วยการแสดงเจตนาลวง
การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่า
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
โจทก์จึงอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่นไม่สมัครใจแยกกันอยู่
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี
สามีฟ้องหย่าภริยาอ้างเป็นโรคทางประสาทและจิตแต่ทำสัญญายอมความ
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
แยกกันอยู่โดยสมัครใจหรือจงใจละทิ้งร้าง?
สามีอยู่ในสภาพคนพิการ-ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
การฟ้องเรียกค่าทดแทนคดีครอบครัว
ฟ้องหย่าขอแบ่งสินสมรส