
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน สามีภรรยาทำพิธีแต่งงานกันตามประเพณี จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย และร่วมอยู่กินด้วยกันแล้ว แม้จะมีเรื่องทะเลาะกันรุนแรงเพียงใด หากมิใช่เป็นเรื่องร้ายแรงถึงขนาดแล้วย่อมที่จะให้อภัยโดยต่างฝ่ายต่างผ่อนปรนให้แก่กันได้ สาเหตุที่ทะเลาะกันเป็นสาเหตุเรื่องเงินทองภายในครอบครัวซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปจึงมิใช่เป็นสาเหตุร้ายแรงและสามารถปรับความเข้าใจระหว่างกันได้ สามีไปอยู่ที่บ้านตนเองโดยไม่ยอมกลับไปหาภริยา สามีมิได้ขวนขวายที่จะชักชวนให้ภริยาไปอยู่ด้วย ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าภริยาจงใจละทิ้งร้าง สามีจึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องหย่า กรณีที่ฝ่ายชายจะมีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและค่าทดแทนค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากฝ่ายหญิงได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการหมั้นแล้ว แต่ไม่มีการสมรสโดยเป็นความผิดของฝ่ายหญิง เมื่อปรากฏว่า ทั้งสองได้แต่งงานกันตามประเพณีและจดทะเบียนสมรสกันแล้ว สามีจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากภริยาได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2542 การที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและ ค่าทดแทนค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากจำเลยได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการหมั้นแล้ว แต่ไม่มีการสมรส โดยเป็น ความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสาม,1439 และ 1440(2) เมื่อปรากฏว่า โจทก์จำเลยได้แต่งงานกันตามประเพณีและจดทะเบียนสมรสกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคือจากจำเลยได้เพราะมิใช่กรณี จำเลยผิดสัญญาหมั้น โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยทำพิธีแต่งงานตามประเพณี จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย และร่วมอยู่กิน ด้วยกันแล้ว เมื่อสาเหตุที่โจทก์จำเลยทะเลาะกัน เป็นเรื่องเงินทองภายในครอบครัวซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั่วไป มิใช่เป็นสาเหตุร้ายแรงและสามารถปรับความเข้าใจ ระหว่างกันได้ แต่กลับได้ความว่า โจทก์ไปอยู่ที่บ้านสวน ของโจทก์โดยไม่ยอมกลับไปหาจำเลย แม้โจทก์จะมีวันหยุด ในวันอาทิตย์ว่างอยู่ แต่ก็อ้างว่าจะต้องซักผ้าและ ทำธุระส่วนตัว หากโจทก์จะไปพบจำเลยบ้างในวันธรรมดา เป็นบางครั้ง โจทก์ก็อาจกระทำได้เพราะโจทก์เคยอยู่บ้านจำเลย และเคยไปทำงานโดยไปกลับมาแล้ว แต่โจทก์ก็มิได้ขวนขวาย ที่จะกระทำดังกล่าวหรือชักชวนให้จำเลยไปอยู่กับโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งโจทก์โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องหย่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้จำเลยส่งใบสำคัญการสมรสที่จำเลยถือไว้ 2 ฉบับ คืนโจทก์ 1 ฉบับ ให้จำเลยใช้เงินค่าสินสอดทองหมั้น 20,000 บาท และเงินที่ใช้จ่ายในการแต่งงาน 3,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทิ้งร้างโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าสินสอดและเงินใช้จ่ายในงานแต่งงาน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชดใช้เงินค่าสินสอดและค่าใช้จ่ายในการแต่งงานหรือไม่ จำเลย (ที่ถูกน่าจะเป็นโจทก์) ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนค่าสินสอดทองหมั้นและเงินที่ใช้จ่ายไปในการแต่งงานนั้นไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 และได้บรรยายฟ้องไว้ในข้อ 3 ว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2539 ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยโจทก์จ่ายเงินค่าสินสอดทองหมั้นเป็นเงิน 20,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการแต่งงานอีกเป็นเงิน 3,000 บาท รวมเป็นเงินที่ใช้จ่ายในการแต่งงาน 23,000 บาท ฯลฯ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลยโดยอาศัยพฤติการณ์ตามฟ้องข้อ 1 ถึงข้อ 4 มาแล้ว ในคดีหมายเลขแดงที่ 91/2540 ของศาลนี้ ขณะนี้คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างระยะเวลาอุทธรณ์ โจทก์จึงจะมาฟ้องโดยอาศัยพฤติการณ์ดังกล่าวอีกไม่ได้เพราะเป็นฟ้องซ้อน จึงไม่รับฟ้องในข้อ 1 ถึงข้อ 4 ส่วนฟ้องโจทก์ตามข้อ 5 เป็นเหตุฟ้องหย่าที่เกิดขึ้นใหม่ โจทก์อ้างเหตุดังกล่าวฟ้องหย่าจำเลยได้ แต่เนื่องจากฟ้องโจทก์ฟุ่มเฟือยเกินไปอ่านไม่เข้าใจ ให้โจทก์ทำคำฟ้องโดยอ้างเหตุเฉพาะข้อ 5 มายื่นต่อศาลใหม่ภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าทิ้งคำฟ้อง โจทก์จึงทำคำฟ้องลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2540ยื่นเข้ามาใหม่โดยนำเหตุฟ้องหย่าตามข้อ 5 มาขยายความและตัดฟ้องโจทก์ข้อ 3 ในส่วนการบรรยายเรื่องค่าสินสอดทองหมั้นและเงินที่ใช้จ่ายในการแต่งงานไปตามคำสั่งศาล แต่ยังคงคำขอให้จำเลยชดใช้เงินค่าสินสอดทองหมั้น 20,000 บาท และเงินที่ใช้จ่ายไปในการแต่งงาน 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 23,000 บาท ไว้ในคำขอท้ายฟ้อง ดังนั้น ในการแปลคำฟ้อง โจทก์จึงจำต้องอ่านคำฟ้องเดิมและคำฟ้องใหม่ของโจทก์ประกอบกัน เมื่อโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องค่าสินสอดทองหมั้นและเงินค่าใช้จ่ายในการแต่งงานไว้ในฟ้องเดิมข้อ 3 แล้ว จึงเป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม กรณีที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและค่าทดแทนค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากจำเลยได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการหมั้นแล้ว แต่ไม่มีการสมรสโดยเป็นความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1437 วรรคสาม, 1439 และ 1440(2) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์และจำเลยว่า โจทก์จำเลยได้แต่งงานกันตามประเพณีและจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและค่าทดแทนค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากจำเลยได้เพราะมิใช่กรณีจำเลยผิดสัญญาหมั้นตามบทกฎหมายดังกล่าว ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปีอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้หรือไม่นั้น โจทก์และจำเลยเบิกความยันกันอยู่ฟังไม่ได้ข้อยุติว่าการที่โจทก์ออกจากบ้านของจำเลยที่อาศัยอยู่กินร่วมกันนั้นเกิดจากการที่จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้านหรือเกิดจากการที่โจทก์ไปพักอาศัยที่บ้านสวนเพื่อความสะดวกในการไปทำงานของโจทก์กันแน่ แต่เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์โดยละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภรรยาโดยทำพิธีแต่งงานตามประเพณี จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย และร่วมอยู่กินด้วยกันแล้ว โดยเหตุผลแม้จะมีเรื่องทะเลาะกันรุนแรงเพียงใด หากมิใช่เป็นเรื่องร้ายแรงถึงขนาดแล้วย่อมที่จะให้อภัยโดยต่างฝ่ายต่างผ่อนปรนให้แก่กันได้ ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า สาเหตุที่ทะเลาะกันเป็นสาเหตุเรื่องเงินทองภายในครอบครัวซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปจึงมิใช่เป็นสาเหตุร้ายแรงและสามารถปรับความเข้าใจระหว่างกันได้ แต่กลับได้ความว่า โจทก์ไปอยู่ที่บ้านสวนของโจทก์โดยไม่ยอมกลับไปหาจำเลย แม้โจทก์จะมีวันหยุด ในวันอาทิตย์ว่างอยู่ก็ตาม โดยอ้างเหตุผลว่าจะต้องซักผ้าและทำธุระส่วนตัวเท่านั้น และหากโจทก์จะไปพบจำเลยบ้างในวันธรรมดาเป็นบางครั้ง ซึ่งโจทก์อาจกระทำได้เพราะโจทก์เคยอยู่บ้านจำเลยและเคยไปทำงานโดยไปกลับมาแล้ว แต่โจทก์ก็มิได้ขวนขวายที่จะกระทำดังกล่าวหรือชักชวนให้จำเลยไปอยู่กับโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งโจทก์ดังอ้าง โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องหย่าคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน
มาตรา 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์ สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง
ถ้าจะต้องคืนของหมั้นหรือสินสอดตามหมวดนี้ ให้นำบทบัญญัติ มาตรา 412 ถึง มาตรา 418 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้ บังคับโยอนุโลม มาตรา 1439 เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่ง มีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญา หมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย มาตรา 1440 ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้
ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องเนื่องจากผู้ร้องได้ไปติดต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา (ขอวีซ่า) ให้กับบุตรผู้เยาว์ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผู้ร้องจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวเสียก่อน ผู้ร้องจึงจะสามารถพาบุตรผู้เยาว์ เดินทางออกนอกประเทศไทย และสามารถดำเนินการผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้ผู้ร้องมาดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลนี้ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวของเด็กหญิง เอ บุตรผู้เยาว์ เสียก่อนจึงจะดำเนินการให้ได้ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก การขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อเจ้ามรดกตาย ทรัพย์สมบัติของเจ้ามรดก ตกเป็นของทายาททันที และก็ยังรวมถึงหนี้สินด้วย ความรับผิดก็ตกทอดมาถึงทายาทเหมือนกัน แต่ก็รับผิดในฐานะเป็นทายาทเท่านั้นไม่ใช้ฐานะส่วนตัว แม้ว่ากองมรดกจะตกทอดแก่ทายาทแล้วก็ตาม ก็อาจมีปัญหาขัดข้องในการจัดสรรแบ่งปันมรดก หรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่ หรือจะไปโอนที่ดินเป็นของตน เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้ ลูกหนี้เจ้ามรดกไม่ยอมชำระหนี้ ธนาคารไม่ยอมให้เบิกเงินของผู้ตาย โดยต้องนำเอาคำสั่งศาลตั้งผู้นั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาให้ดูมาแสดงเสียก่อนว่าผู้มาติดต่อนั้นศาลได้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วมิฉะนั้นไม่ดำเนินการให้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทายาทจะต้องไปดำเนินการขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็จะเสียเวลาพอสมควรกว่าจะยื่นคำร้องขอและกว่าจะไต่สวนคำร้องและศาลมีคำสั่ง
|