ReadyPlanet.com
dot
รวมกฎหมายและฎีกา
dot
bulletกฎหมายทั่วไป
bulletคดีครอบครัว
bulletคำพิพากษาคดีอาญา
bulletที่ตั้งสำนักงาน
bulletซื้อขายเช่าซื้อขายฝาก
bulletครอบครองปรปรปักษ์
bulletผู้จัดการมรดก
bulletกฎหมายแรงงาน
bulletทรัพย์สินกรรมนสิทธิ์
bulletหลักฐานการกู้ยืมเงิน
bulletสัญญาตัวแทน
bulletซื้อขายที่ดิน
bulletสัญญาเช่า
bulletลาภมิควรได้
bulletผู้คำประกัน
bulletคดีล้มละลาย
bulletพ.ร.บ. ทนายความ




ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรศาลพิจารณาจากประเด็นใดบ้าง?

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความ นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  (5) ID line  :

         (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3)  @peesirilaw  หรือ (4) peesirilaw   (5)   leenont

 

ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรศาลพิจารณาจากประเด็นใดบ้าง?

การที่สามีไปมีเมียน้อยและภริยารู้แล้วมาฟ้องภายหลังเมื่อพ้น 1 ปี จะถือว่าสิทธิฟ้องหย่า หรือฟ้องเรียกค่าทดแทนตามกฎหมายระงับไปหรือไม่? การที่สามีไปมีหญิงอื่นและอยู่กินฉันสามีภริยาหรืออุปการะเลี้ยงดูและยกย่องหญิงอื่นตลอดมาเกิน 1 ปีอันเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องนั้นหมายความว่าอย่างไร? พฤติการณ์ที่ศาลจะพิจารณาว่า ฝ่ายบิดา หรือ มารดา ควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองศาลพิจารณาจากประเด็นใดบ้าง? การที่สามี ภริยา มีบุตรด้วยกัน ต่อมาได้หย่าขาดจากกันจะทำให้บุตรนั้นเป็นบุตรนอกกฎหมายของบิดาหรือไม่? บิดายังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้อยู่หรือไม่?

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4678/2552


          โจทก์เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 (เป็นสามี)  ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1 ยังคงอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 (หญิงอื่น) ฉันภริยาอันเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องตั้งแต่โจทก์รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว เหตุฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1) จึงยังคงมีอยู่ตลอดมาและโจทก์ย่อมยกเป็นเหตุหย่าได้ โดยไม่สำคัญว่าโจทก์จะรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อนฟ้องเกิน 1 ปีหรือไม่ สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ไม่ระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1529

 
มาตรา 1529  สิทธิฟ้องร้องโดยอาศัยเหตุในมาตรา 1516 (1) (2) (3) หรือ (6) หรือมาตรา 1523 ย่อมระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันผู้กล่าวอ้างรู้หรือควรรู้ความจริงซึ่งตนอาจยกขึ้นกล่าวอ้าง
เหตุอันจะยกขึ้นฟ้องหย่าไม่ได้แล้วนั้น อาจนำสืบสนับสนุนคดีฟ้องหย่าซึ่งอาศัยเหตุอย่างอื่น


          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์ 20,000 บาท และให้ชำระอีกเดือนละ 4,000 บาท จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระค่าทดแทนเป็นเงินคนละ 150,000 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์ 100,000 บาท

          จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และให้จำเลยที่ 1 กับโจทก์หย่าขาดจากกัน โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย อ. บุตรผู้เยาว์ แต่เพียงผู้เดียว

          โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน โดยให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กชาย อ. บุตรผู้เยาว์ แต่เพียงผู้เดียวให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าทดแทนเป็นเงิน 100,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนเป็นเงิน 20,000 บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์แก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 4,000 บาท นับตั้งแต่วันพิพากษา (วันที่ 18 พฤศจิกายน 2546) เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีจำเลยแต่ละคน คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ

          จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

          จำเลยทั้งสองฎีกา

          ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งรับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2531 ต่อมาวันที่ 25 มกราคม 2532 จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 113798 พร้อมบ้านเลขที่ 81/105 หมู่ที่ 5 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โจทก์ จำเลยที่ 1 นางโตวตี้ มารดาจำเลยที่ 1 เข้าพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านดังกล่าว โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชาย อ. เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2533 ต่อมาโจทก์กับมารดาจำเลยที่ 1 ทะเลาะกัน จำเลยที่ 1 ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน โดยตกลงให้เด็กชาย อ. อยู่ในความปกครองของโจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 4,000 บาท แล้วโจทก์กับเด็กชาย อ. ก็ย้ายออกไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 60/28 หมู่ที่ 8 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยโจทก์ประกอบอาชีพรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า จำเลยที่ 1 ไปเยี่ยมเด็กชาย อ. ทุกสัปดาห์และมอบเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายเดือนละ 4,000 บาท ตลอดมา จนกระทั่งถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2539 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกันใหม่ แต่โจทก์ไม่ได้กลับไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 81/105 ของจำเลย ซึ่งมีมารดาของจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่ด้วย ประมาณเดือนธันวาคม 2544 จำเลยที่ 1 รู้จักจำเลยที่ 2 ต่อมาเดือนมีนาคม 2545 จำเลยที่ 1 นำจำเลยที่ 2 ซึ่งตั้งครรภ์กับจำเลยที่ 1 เข้าไปพักอาศัยในบ้านเลขที่ 81/105 กับจำเลยที่ 1 และมารดาจำเลยที่ 1 โจทก์พบจำเลยที่ 2 ที่บ้านดังกล่าวหลายครั้ง

          คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทดแทนให้โจทก์และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย อ. นั้นชอบหรือไม่ เพียงไร

          ...พิเคราะห์แล้ว สำหรับปัญหาเรื่องเหตุหย่า ซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ให้การอุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 2 ฉันภริยานั้น โจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์อีกครั้ง เพราะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ปรับความเข้าใจกันได้ จำเลยที่ 1 จึงเจตนาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ จำเลยที่ 1 เบิกความโต้แย้งว่า ตนมิได้เจตนาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ แต่ต้องจดทะเบียนสมรสกับโจทก์อีกครั้งหนึ่ง เพราะเห็นว่าเด็กชาย อ. บุตรจำเลยที่ 1 กับโจทก์จะเข้าโรงเรียนเพื่อประโยชน์ของเด็กชาย อ. และการคำนวณลดหย่อนภาษีเงินได้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล เพราะขณะที่เด็กชาย อ. เกิดนั้น โจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังจดทะเบียนสมรสกันอยู่ เด็กชาย อ. จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 แม้ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกันด้วยความสมัครใจ ขณะนั้นโจทก์ไม่ใช่ภริยาของจำเลยที่ 1 ก็เป็นเหตุเฉพาะตัวของโจทก์ ไม่ทำให้เด็กชาย อ. บุตรชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นบุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 เด็กชาย อ. จึงยังคงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตลอดไป จำเลยที่ 1 ย่อมขอลดหย่อนค่าภาษี เนื่องจากต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็กชาย อ. ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะได้ ประกอบกับจำเลยที่ 1 ก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า การที่จำเลยที่ 1 และโจทก์จดทะเบียนสมรสกันครั้งหลังนี้ จำเลยที่ 1 และโจทก์สมัครใจที่จะเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ความจริงจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะเป็นสามีภริยากับโจทก์อีกครั้งนั้นย่อมรับฟังไม่ได้ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ยกย่องจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย ในขณะที่โจทก์ยังเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 กับนำจำเลยที่ 2 เข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่ 81/105 กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นเป็นภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) แล้ว ส่วนโจทก์ไม่เคยแสดงตนว่าเป็นภริยาจำเลยที่ 1 ไม่เคยทะเลาะหรือไล่จำเลยที่ 2 ออกจากบ้านหรือเพิ่งแสดงตนว่าเป็นภริยาจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2545 ตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน เพราะจำเลยที่ 2 กับพี่สาวโจทก์ทะเลาะวิวาททำร้ายกันนั้น ก็มิใช่กรณีที่โจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 1 กับที่ 2 มีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากัน เพราะเมื่อจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว โจทก์ก็ไม่ทราบเรื่อง ขณะที่โจทก์พบจำเลยที่ 2 อยู่ในห้องนอนจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ก็ตั้งครรภ์แล้ว ดังนั้น โจทก์จึงมีเหตุฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีเหตุฟ้องแย้งขอหย่าโจทก์โดยอ้างเหตุว่า โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1 ยังคงอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 เป็นภริยาอันเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องตั้งแต่โจทก์รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว เหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) จึงยังคงมีอยู่ตลอดมา โดยไม่สำคัญว่าโจทก์จะรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อนฟ้องเกิน 1 ปีหรือไม่ และโจทก์ย่อมยกเป็นเหตุหย่าได้ สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 ตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์มีเหตุหย่าและให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันนั้นชอบแล้ว และจำเลยทั้งสองต้องชดใช้ค่าทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงสถานภาพของจำเลยที่ 1 ซึ่งเคยไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย เคยทำงานที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับเงินเดือน เดือนละ 23,000 บาท เริ่มทำงานที่บริษัทอิริกสัน จำกัด มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท จนกระทั่งได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็นเดือนละ 90,000 บาท และสามารถใช้เงินโจทก์และเด็กชาย อ. ใช้เดือนละ 6,000 บาท ถึง 7,000 บาท บางครั้งเป็น 10,000 บาท มีที่ดิน 2 แปลง แปลงหนึ่งมีบ้านที่ตนใช้พักอาศัยอยู่ด้วย จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีฐานะทางการเงินดี แม้ขณะที่มาเบิกความ จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่มีงานทำแต่จำเลยที่ 1 ก็เคยพบเหตุการณ์นี้เมื่อกลับจากประเทศซาอุดีอาระเบียก็ว่างงานอยู่นานถึง 7 เดือน ก็ไม่ขัดขวางการดำรงชีพของจำเลยที่ 1 ประกอบกับโจทก์มีรายได้จากการรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า และยังต้องเสียค่าเช่าบ้านด้วย จึงเห็นว่าค่าทดแทนที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ก็ฟังไม่ขึ้น คดีมีประเด็นข้อสุดท้ายเรื่องการใช้อำนาจปกครองเด็กชาย อ. นั้น เห็นว่า เด็กชาย อ. อยู่ในความดูแลของโจทก์ตลอดมาตั้งแต่โจทก์ยังอยู่ร่วมบ้านกับจำเลยที่ 1 หรือแยกออกมาอยู่ต่างหากจากจำเลยที่ 1 โดยไม่ปรากฏว่าการปกครองดูแลเด็กชาย อ. ของโจทก์มีผลเสียหายอย่างไร แต่กลับปรากฏผลดีเพราะโจทก์เป็นหญิงมีความละเอียดอ่อนในการดูแลบุตร ทั้งโจทก์ประกอบอาชีพอยู่ภายในบ้าน ย่อมมีเวลาในการเลี้ยงดูบุตร และโจทก์ก็ยังไม่มีสามีใหม่ที่จะมาแบ่งปันเวลาและความรักที่มีต่อเด็กชาย อ. ซึ่งต่างกับจำเลยที่ 1 ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทั้งมีครอบครัวใหม่กับจำเลยที่ 2 และบุตรกับจำเลยที่ 2 การให้เด็กชาย อ. บุตรอยู่ในความดูแลของโจทก์ย่อมเหมาะสมกว่า ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ปัจจุบันเด็กชาย อ. กลับมาอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 81/105 ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 เพราะโจทก์ไม่มีเวลามาดูแลให้ความอบอุ่น โจทก์ก็แก้ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 บอกว่าจะให้บุตรไปศึกษาต่อต่างประเทศจึงขอให้โจทก์ไปทำหนังสือยินยอมที่สถานกงสุล โจทก์จึงต้องยินยอมให้บุตรไปอยู่กับจำเลยที่ 1 เพราะเห็นแก่อนาคตของบุตรแต่บุตรก็ยังไม่ได้ไปต่างประเทศ ต้องอาศัยอยู่กับย่าซึ่งอายุมากแล้วที่บ้านเลขที่ 81/105 ตามลำพังสองคน เพราะจำเลยที่ 1 ได้แยกไปอยู่กับครอบครัวใหม่อีกที่หนึ่ง ทำให้ในตอนกลางวันบุตรเล่นแต่เกมคอมพิวเตอร์ และออกไปเที่ยวเตร่กลางคืนเป็นบางครั้ง เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้ดูแลใกล้ชิด ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จึงยังไม่แน่นอนดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา และนำมารับฟังวินิจฉัยประกอบฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ ฎีกาจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างตามฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองนั้น ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลฎีกา จึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้”

          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

( นพวรรณ อินทรัมพรรย์ - สิริรัตน์ จันทรา - สุรภพ ปัทมะสุคนธ์ )

 

 

ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว 

ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องเนื่องจากผู้ร้องได้ไปติดต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา (ขอวีซ่า) ให้กับบุตรผู้เยาว์ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผู้ร้องจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวเสียก่อน ผู้ร้องจึงจะสามารถพาบุตรผู้เยาว์ เดินทางออกนอกประเทศไทย และสามารถดำเนินการผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้ผู้ร้องมาดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลนี้ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวของเด็กหญิง เอ บุตรผู้เยาว์ เสียก่อนจึงจะดำเนินการให้ได้

 

ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก

การขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อเจ้ามรดกตาย  ทรัพย์สมบัติของเจ้ามรดก ตกเป็นของทายาททันที และก็ยังรวมถึงหนี้สินด้วย ความรับผิดก็ตกทอดมาถึงทายาทเหมือนกัน  แต่ก็รับผิดในฐานะเป็นทายาทเท่านั้นไม่ใช้ฐานะส่วนตัว แม้ว่ากองมรดกจะตกทอดแก่ทายาทแล้วก็ตาม  ก็อาจมีปัญหาขัดข้องในการจัดสรรแบ่งปันมรดก หรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่ หรือจะไปโอนที่ดินเป็นของตน เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้ ลูกหนี้เจ้ามรดกไม่ยอมชำระหนี้ ธนาคารไม่ยอมให้เบิกเงินของผู้ตาย โดยต้องนำเอาคำสั่งศาลตั้งผู้นั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาให้ดูมาแสดงเสียก่อนว่าผู้มาติดต่อนั้นศาลได้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วมิฉะนั้นไม่ดำเนินการให้  ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทายาทจะต้องไปดำเนินการขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็จะเสียเวลาพอสมควรกว่าจะยื่นคำร้องขอและกว่าจะไต่สวนคำร้องและศาลมีคำสั่ง 

 




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์
เรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น
ให้บุตรผู้เยาว์อยู่กับมารดาได้รับความอบอุ่นมากกว่า
การอ้างเหตุหย่าต้องมีเหตุตามที่กฎหมายรับรอง
ฟ้องหย่าอ้างภริยานำบุตรไปอยู่กับบิดามารดาเป็นการแสดงเจตนาแยกกันอยู่
เหตุที่สามีกับภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ก็เนื่องจากสามีทำร้ายร่างกาย
จดทะเบียนสมรสแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันการสมรสยังสมบูรณ์
เงินเดือนเป็นเงินที่ได้มาระหว่างสมรสจึงเป็นเงินสินสมรส
ยกย่องหญิงฉันภริยาเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องไม่เริ่มนับอายุความ
สามีภริยาชอบด้วยกฎหมายไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับชายอื่นและหญิงอื่น
สิทธิฟ้องค่าเลี้ยงดูบุตรต้องฟ้องหย่าด้วยหรือไม่?
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่า ค่าอุปการะเลี้ยงดู
สมรสซ้อน-ผลกระทบต่อสิทธิของบุตร
ภริยาร้องเรียนผู้บังคับบัญชา
การหย่าโดยความยินยอม
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด เขตอำนาจศาล
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรส
ฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงชีพ ค่าทดแทน แบ่งสินสมรส
การจดทะเบียนหย่าด้วยการแสดงเจตนาลวง
การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่า
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
โจทก์จึงอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่นไม่สมัครใจแยกกันอยู่
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี
สามีฟ้องหย่าภริยาอ้างเป็นโรคทางประสาทและจิตแต่ทำสัญญายอมความ
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
แยกกันอยู่โดยสมัครใจหรือจงใจละทิ้งร้าง?
สามีอยู่ในสภาพคนพิการ-ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
การฟ้องเรียกค่าทดแทนคดีครอบครัว
ฟ้องหย่าขอแบ่งสินสมรส