
การอ้างเหตุหย่าต้องมีเหตุตามที่กฎหมายรับรอง
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความ นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont
การอ้างเหตุหย่าต้องมีเหตุตามที่กฎหมายรับรอง
สามีฟ้องหย่าอ้างว่าตนมีสิทธิที่จะเลือกคู่ครองของตนเองได้เมื่อตนเห็นว่าภริยาไม่เหมาะสมกับตน ๆ ก็มีสิทธิเลิกร้างกับภริยาได้และสิทธิได้รับความคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาเห็นว่า รัฐธรรมนูญกำหนดว่าบุคคลย่อมใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นหรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้ว่าการเลือกคู่ครองจะเป็นสิทธิของสามีก็ตาม แต่การใช้สิทธิเช่นนั้นจะต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน การอ้างเหตุหย่าต้องมีเหตุตามที่กฎหมายรับรอง ไม่ใช่ไม่พอใจก็ฟ้องหย่าโดยอ้างว่าเป็นสิทธิในการเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โจทก์ฎีกา บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ศาลฎีกายกขึ้นมาวินิจฉัยคือ มาตรา 28 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของคนอื่นไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน" นัยของข้อวินิจฉัยนี้คือ ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง มิใช่เพราะสิทธิและเสรีภาพที่โจทก์อ้างไม่มีอยู่จริงแต่เพราะวิธีใช้สิทธิและเสรีภาพของโจทก์ไม่ต้องด้วยมาตรา 28 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ การขอหย่าโดยปราศจากเหตุหย่าตามกฎหมายของโจทก์มีผลกระทบกระเทือนต่อจำเลยซึ่งเป็นภริยาและบุตร และกระทบกระเทือนต่อสถาบันครอบครัว ซึ่งคงจะหมายความว่าข้ออ้างของโจทก์ "ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของคนอื่น" นั่นเอง สิทธิและเสรีภาพตามที่ศาลฎีกายกขึ้นมานี้ เป็นสิทธิและเสรีภาพที่บัญญัติอยู่ในหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่จำกัดการใช้อำนาจรัฐ สิทธิและเสรีภาพทุกอย่างในหมวดนี้เรียกในทางวิชาการว่า "สิทธิขั้นพื้นฐาน" (fundamental right) คือ เป็นสิทธิที่แยกออกไม่ได้จากความเป็นมนุษย์ของบุคคลนอกจากจะถือว่ามนุษย์มีสิทธิเหล่านี้อยู่ก่อนที่สังคมจะก่อตั้งเป็นรัฐแล้ว สิทธิเหล่านี้ยังแสดงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอีกด้วยในฐานะที่สิทธิเหล่านี้เกี่ยวโยงกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และมีมาก่อนรัฐ สิทธิเหล่านี้จึงอยู่เหนือผลประโยชน์ของสังคมรัฐจะยกเอาผลประโยชน์ของสังคมขึ้นอ้างเพื่อบั่นทอนสิทธิเหล่านี้ไม่ได้เพราะถ้ายอมให้รัฐบั่นทอนสิทธิเหล่านี้ ก็เท่ากับยอมให้รัฐย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดหน้าที่ของรัฐเป็นการทั่วไปเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเหล่านี้คือ มาตรา 26 ซึ่งบัญญัติว่า "การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้" ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของสิทธิขั้นพื้นฐานคือ เป็นสิทธิที่มีความผูกพันอย่างเหนียวแน่นกับฝ่ายตุลาการ คำกล่าวที่ว่า ศาลเป็นองค์กรถ่วงดุลแสดงให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายตุลาการในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิเหล่านี้ โดยถือว่า ในฐานะที่สิทธิขั้นพื้นฐานเป็นสิทธิของปัจเจกชนที่รัฐล่วงละเมิดมิได้ ในการคุ้มครองสิทธิเหล่านี้จากการก้าวล่วงของฝ่ายการเมืองซึ่งใช้อำนาจรัฐ จำเป็นต้องมีสถาบันที่เป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองมาทำหน้าที่คานอำนาจของฝ่ายการเมืองเพื่อมิให้ฝ่ายการเมืองก้าวล้ำเข้ามาในขอบเขตของปัจเจกชน ในขณะเดียวกันการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ก็เป็นฐานรากของ "ความชอบธรรมทางตุลาการ" เช่นเดียวกับการคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะเป็นฐานรากของความชอบธรรมทางการเมือง ในฐานะที่สิทธิขั้นพื้นฐานเป็นสิทธิที่ปัจเจกชนมีต่อรัฐ เงื่อนไขประการแรกที่จะอ้างสิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 คือ ต้องมีองค์กรของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องหรือมีการกระทำที่เรียกว่าเป็น "การกระทำของรัฐ" (state action) การกระทำของปัจเจกชนต่อปัจเจกชนด้วยกัน ที่มีผลเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องของกฎหมายเฉพาะ เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ห้ามมิให้นายจ้างเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้าง เป็นต้น การกระทำของปัจเจกชนต่อปัจเจกชนด้วยกันดังกล่าว หากไม่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติห้าม แม้จะเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก็อยู่นอกความหมายของสิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 ของรัฐธรรมนูญ สำหรับกรณีตามคำพิพากษาฎีกานี้ การอ้างสิทธิและเสรีภาพในหมวด 3 ของโจทก์เป็นการอ้างสิทธิและเสรีภาพที่มีต่อจำเลยเป็นปัจเจกชน โดยไม่มีการอ้างถึงการกระทำของรัฐหรือองค์กรของรัฐ จึงเป็นเรื่องของกฎหมายเฉพาะ มิใช่เป็นการอ้างสิทธิขั้นพื้นฐาน การอ้างของโจทก์อย่างนี้อยู่นอกขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพดังที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 ด้วยความเคารพอย่างสูงต่อข้อวินิจฉัยของศาลฎีกา ผู้บันทึกเห็นว่า การวินิจฉัยของศาลฎีกาที่วินิจฉัยไปตามข้ออ้างของโจทก์ว่า วิธีใช้สิทธิและเสรีภาพที่จะหย่าขาดจากภริยาของโจทก์ไม่ชอบด้วยมาตรา 28 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า สิทธิและเสรีภาพที่โจทก์อ้างอาจมีอยู่จริง เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ลงรอยกับแนวคิดทางวิชาการว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่แม้กระนั้นผู้บันทึกก็ยังพอใจวิธีวินิจฉัยของศาลฎีกาที่วินิจฉัยโดยพิจารณาข้อเท็จจริงทางสังคมประกอบ ซึ่งการวินิจฉัยวิธีนี้จะนำไปสู่การพัฒนานิติศาตร์ของเราต่อไป
ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องเนื่องจากผู้ร้องได้ไปติดต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา (ขอวีซ่า) ให้กับบุตรผู้เยาว์ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผู้ร้องจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวเสียก่อน ผู้ร้องจึงจะสามารถพาบุตรผู้เยาว์ เดินทางออกนอกประเทศไทย และสามารถดำเนินการผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้ผู้ร้องมาดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลนี้ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวของเด็กหญิง เอ บุตรผู้เยาว์ เสียก่อนจึงจะดำเนินการให้ได้
ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก การขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อเจ้ามรดกตาย ทรัพย์สมบัติของเจ้ามรดก ตกเป็นของทายาททันที และก็ยังรวมถึงหนี้สินด้วย ความรับผิดก็ตกทอดมาถึงทายาทเหมือนกัน แต่ก็รับผิดในฐานะเป็นทายาทเท่านั้นไม่ใช้ฐานะส่วนตัว แม้ว่ากองมรดกจะตกทอดแก่ทายาทแล้วก็ตาม ก็อาจมีปัญหาขัดข้องในการจัดสรรแบ่งปันมรดก หรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่ หรือจะไปโอนที่ดินเป็นของตน เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้ ลูกหนี้เจ้ามรดกไม่ยอมชำระหนี้ ธนาคารไม่ยอมให้เบิกเงินของผู้ตาย โดยต้องนำเอาคำสั่งศาลตั้งผู้นั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาให้ดูมาแสดงเสียก่อนว่าผู้มาติดต่อนั้นศาลได้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้วมิฉะนั้นไม่ดำเนินการให้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทายาทจะต้องไปดำเนินการขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็จะเสียเวลาพอสมควรกว่าจะยื่นคำร้องขอและกว่าจะไต่สวนคำร้องและศาลมีคำสั่ง
|